สามล้อเมืองนนท์ ตอนที่ 1
(เดินทาง 13 กพ.54)
ปัจจุบันคนทั่วไปดูเหมือนจะลืมๆเรื่องรถสามล้อ หรือสามล้อถีบกันไปหมดแล้ว หากจะนึกคงนึกไม่ออกว่ายังพอหาดูได้จากที่ไหนบ้าง และเมื่อเดือนมกราคมปี 54 ได้มีโอกาสไปนอนที่เมืองแพร่ ก็เห็นเพียงแค่ 2 คัน ซึ่งไม่ทราบว่าจะเป็น 2 คันสุดท้ายหรือไม่
แต่ถ้าได้ไปที่ปากน้ำจังหวัดสมุทรปราการ หรือจังหวัดนนทบุรี ก็จะอาจเห็นเป็นเรื่องปกติ และสำหรับจังหวัดนนทบุรีน่าจะพูดได้ว่ามีจำนวนสามล้อถีบหรือ Cycle Rickshaw มากที่สุดในประเทศไทย
ใครผ่านมาในย่านนนท์ก็อาจเห็นรถสามล้อวิ่งไปบนถนนเคียงคู่ไปกับยานพาหนะอื่นๆ ดูเป็นภาพที่แปลกตาสำหรับคนต่างถิ่น และอดคิดไม่ได้ว่ายังมีหลงเหลืออยู่ เพราะปัจจุบันจังหวัดที่อยู่ใกล้ชิดติดกรุงเทพ เช่นจังหวัดปทุมธานี สมุทรปราการ และนนทบุรี คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดว่าเป็นต่างจังหวัดอีกแล้ว ทั้งนี้เพราะการเดินทางไปมาหาสู่กันสะดวกกว่าแต่ก่อน รถเมล์ก็ไปถึงกันทุกจังหวัด
วันนั้นเป็นวันที่ 13 กพ.54 หรือวันวาเลนไทน์ หลังออกจากวัดชลประทานรังสฤษฏ์ในย่านปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เพื่อจะกลับบ้าน นึกขึ้นได้ว่า ท่าน้ำนนท์ที่อยู่ไม่ไกลเส้นทางขณะขับรถกลับ ซึ่งไม่ได้ผ่านไปเสียนาน จึงอยากไปเยี่ยมเยียนอีกสักครั้ง
แต่มาคราวนี้ก็เล่นเอางง เพราะกำลังสร้างสะพานข้ามถนนกันใหญ่โตตรงบริเวณแยกประชาราษฏร์ ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะเป็นโครงการทางยกระดับสำหรับรถไฟฟ้า BTS และใกล้เคียงกันนั้นก็เห็นคอนโดมีเนียมโครงการยักษ์กำลังก่อสร้างอยู่ไม่ห่างจากถนน
พอเลี้ยวขวาตรงสี่แยกประชาราษฏร์ (ตัดกับถนนนครอินทร์ - ติวานท์ ) ก็เข้าเขตตัวจังหวัดนนทบุรี ผ่านมาได้ไม่ไกลนักก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากกรุงเทพฯ นั่นก็คือ รถสามล้อ หรือสามล้อถีบ
คิดในใจว่าไหนๆมาแล้วก็น่าจะเก็บภาพรถสามล้อไว้ เผื่อวันข้างหน้ามันอาจจะค่อยๆหายไปจากเมืองนนท์กันแบบไม่รู้ตัว เพราะเรื่องนี้คงไม่เกิดทันทีทันใด รถเมล์ รถสองแถว หรือมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ที่มีมากมายหลายรูปแบบ จะเป็นตัวเร่งให้ผู้ที่ทำอาชีพสามล้อรับจ้างค่อยๆถอดใจ และหายกันไปจากถนนกันทีละคันสองคัน ในที่สุดรถสามล้อเมืองนนท์ก็จะกลายเป็นแค่ตำนาน จนหลายคนอาจรู้สึกเสียดายที่เมื่อก่อนไม่ได้สนใจถ่ายภาพเก็บไว้
หลังจากจอดรถที่หน้าอาคารไม้ศาลากลางแก่ของนนทบุรี ก็เดินย้อนไปยังตลาดนนท์ ผ่านหอนาฬิกาอันเป็นสัญญลักษณ์ของพื้นที่ในบริเวณนี้ จากนั้นก็ต่อไปยังท่าน้ำนนท์ที่ดูกว้างขวางใหญ่โตกว่าแต่ก่อน เห็นผู้คนเดินผ่านไปมาอยู่ตลอดเวลาเพื่อใช้บริการเรือข้ามฝาก ดูแล้วเป็นบรรยากาศแบบต่างจังหวัด
ในขณะที่เดินเล่นแถวศาลาท่าน้ำนนท์ ก็ได้ยินเสียงประกาศเชิญชวนให้ใช้บริการเรือที่วิ่งจากท่าำนนท์ไปยังเกาะเกร็ด ถ้าจำไม่ผิดน่าจะจัดเฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์ ใครสะดวกก็ใช้บริการได้ จะได้ชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนที่จะไปถึงเกาะเกร็ด
วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ และเป็นวันอาทิตย์ แถวๆตลาดนนท์ก็มีบรรยากาศไม่แพ้ที่อื่นๆ สัญญลักษณ์ที่แสดงถึงความรักก็มีมากมายหลายประเภท จนรู้สึกว่าแตกลูกแตกหลานออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อะไรต่อมิอะไรก็มีแต่หัวใจสีแดง หรือเอาหัวใจไปแปะไว้ เป็นการถือโอกาสโหนกระแสไปกับวันแห่งความรัก
คิดเล่นๆว่าอนาคตแม่ค้าปลาทูนิ่งในตลาด ก็อาจร่วมฉลองวันวาเลนไทน์กับเค้า โดยทำภาชนะใส่ปลาทูเป็นรูปหัวใจ และมีปลาทู 2 ตัวอยู่ในนั้น เพื่อเรียกลูกค้าในวัยพ่อบ้านแม่บ้าน ที่อยากรำลึกถึงความรักในอดีต
คืนนั้นอาจกินข้าวกับปลาทูพร้อมจุดทียนสักเล่มให้ดูสลัวๆ ไม่เลวนะครับ
เดินมาไม่นานก็มาถึงร้านขายชุดชั้นในสตรี เห็นหุ่นโชว์สวมชุดชั้นในมีลายลูกไม้สีแดง คิดไม่ออกว่ามันเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์หรือไม่ จะถามคนขายที่ยังอยู่ในวัยสาวก็ไม่กล้า กลัวจะหาว่า " มายุ่งอะไรกับของผู้หญิง "
แถมกลัวโดนถามกลับมาว่า คุณอาจะซื้อไปฝากเมีย(น้อย)รึไง คิดแบบนี้แล้วก็เดินต่อดีกว่า ขืนขี้สงสัยมากอาจโดนย้อนศร ขายขี้หน้าเปล่าๆ
เดินเรื่อยๆไปจนถึงหน้าตลาดนนท์ ตลาดเก่าแก่แต่ก็ยังดูคึกคัก และบริเวณหน้าตลาดนี้เองก็มีสามล้อถีบหลายสิบคันคอยให้บริการ เรียกว่าแถวนี้เป็นท่ารถสามล้อก็น่าจะได้
แถวๆหน้าตลาดนี้มีสามล้อหนาตา เห็นแล้วก็ดีใจที่คนในย่านนี้ยังใช้บริการ สนนราคาก็ไม่แพง ใกล้หน่อยก็ 10 บาท ของหนักของเบาก็ไม่ต้องหิ้วให้เมื่อย ขึ้นสามล้อแล้ววางข้างตัวหรือวางไว้ใกล้เท้าก็สะดวก
ตอนนั้นยืนสังเกตอยู่บริเวณนี้ค่อนข้างนาน และเห็นรถสามล้อเข้าออกตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ถ่ายไปหลายภาพ จนสามล้อที่กำลังรอลูกค้าหลายคนเห็นผิดสังเกต ว่าถ่ายไปทำอะไรกันนักหนา อาจเข้าใจว่าไอ้หมอนี่คงเป็นนักข่าว หรืออาจเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติแต่หน้าตาคล้ายคนไทย เพราะคนไทยด้วยกันคงไม่มีใครมาถ่ายเอาๆอย่างเป็นเรื่องเป็นราวกันแบบนี้
เพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัยจึงเดินไปทักทายพวกเค้าบ้าง จะได้ไม่มองเราเป็นตัวประหลาด ถ่ายกันไม่หยุดหย่อน
มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ไปด้อมๆมองๆถ่ายภาพอยู่ริมถนนด้านหลังวัดโพธิ์ บริเวณนี้ก็มีสามล้อเครื่องหรือรถตุ๊กๆวิ่งให้บริการ และผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติเสียด้วย
บรรดาคนขับรถตุ๊กๆเห็นเราถ่ายภาพอยู่เป็นนาน คงคิดว่า เป็นต่างชาติแน่ๆ เพราะแต่งตัวแบบนักท่องเที่ยวไฮโซ
ความจริงวันนั้นก็หล่อใช้ได้เลยทีเดียว สวมกางเกงสีขาว รองเท้ากีฬาสีขาว เสื้อแขนสั้นสีน้ำเงินลายดอกสีสวยๆ แถมสวมหมวก ในมือถือกล้องถ่ายภาพ พร้อมสะพายกระเป๋ากล้อง เรียกว่าดูแล้วไม่ต่างกับมาดนักท่องเที่ยวประเภทมีเงินมีฐานะ ไม่กิ๊กก๊อกเหมือนกับที่เห็นๆกัน
ปรากฏว่า มีคนขับรถตุ๊กรายหนึ่งมาส่งภาษาอังกฤษกับเรา (เว้ย )
ไม่ธรรมดาครับท่าน แกพูดแบบมั่วๆ แต่รู้ความหมายว่าถามอะไร จะให้ไปส่งที่ไหน
และเพื่อไม่ให้สามล้อแกหน้าแตกที่พูดอังกฤษแบบไปวัดไปวา จึงบอกไปว่าเป็นคนไทยครับ
ปรากฏว่ารายที่หนึ่งไปแล้ว แต่รายที่ 2 3 ตามมาติดๆ เอาละซิ..ชักยังไงๆอยู่
ไม่ไหวครับท่าน มันเขินนะ ความจริงหน้าตาเรามันก็ไอ้บ้านน้อกบ้านนอก ดันมีคนมาส่งภาษาอังกฤษกับเรา (ทั้งๆที่เราก็งูๆปลา)
วันนั้นหลังเดินกลับก็ยังงุนงงไม่หายว่า หน้าแบบนี้ ทำไมพวกเค้าจึงคิดว่าเราเป็นคนต่างชาติ หรือว่าเค้าตาถึง
แปลกจริงแฮะ
เรื่องราวของสามล้อในตอนที่ 1 นี้ เป็นการเรียกน้ำย่อยไปพลางๆก่อน ส่วนตอนที่ 2 นี้จะเข้าประเด็นแล้วละครับ และจะเห็นว่าสามล้อถีบเมืองนนท์ยังมีให้บริการกันอย่างน่าดีใจ และน่าภูมิใจว่าอาชีพเก่าแก่ดั่งเดิมนี้น่าจะคงอยู่คู่เมืองนนท์นี้ไปอีกนาน
พบกันในตอนที่ 2 ครับ
โฟโต้ออนทัวร์
31 มีนาคม 2554
|