ดอกไม้ในพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ตอน 3 (Phuping Palace 3) (บันทึกการเดินทางเมื่อเดือน มกราคม 2554)
ดอกไม้จากพระตำหนักภูพิงค์ยังไม่หมดง่ายนะครับ ตอนนี้เป็นชุดที่ 3 จากทั้งหมด 4 ชุด รวมทั้งหมดก็ราว 120 ภาพ หรือชุดละ 30 ภาพ และแต่ละภาพก็ดูกันให้จุใจ ด้วยขนาดภาพที่ใหญ่กว่าชุดทั่วไปอื่นๆ ภูพิงค์ หรือพระตำหนักภูพิงค์ในวันนี้ คงไม่ไช่เพียงแค่พระตำหนักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และครอบครัวของพระองค์ แต่ได้กลายเป็นสถานท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ที่เปิดให้ประชาชนเข้าไปชมความสวยงามของไม้ดอกไม้ประดับ ได้เกือบจะทั่วพระตำหนัก ใครที่คิดว่า บุญไม่มา วาสนาไม่ส่ง จึงไม่มีโอกาสเข้าวัง ก็ต้องมาเชียงใหม่ครับ มีโอกาสเขาวังกันสมใจนึกชนิดที่ไม่ต้องรอชาติหน้า และช่วงที่เหมาะที่สุดก็ต้องช่วงเดือนมกราคมของทุกปี เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังที่นั่นเค้ายืนยันมา การเดินทางไปยังภูพิงค์ก็แสนสะดวก ขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพ เสร็จแล้วก็ไปเที่ยวพระตำหนักกันต่อ จากนั้นก็ไปแวะดอยปุย ชมหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าม้ง(แม้ว) ที่อยู่ห่างจากภูพิงค์ราว 3 กม. บรรยากาศที่นั่นก็ดีมาก มีชาวเขาแต่งตัวสวยๆมาให้ถ่ายภาพทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บอกก่อนว่าเด็กแม้วที่เชียงใหม่น่ารักมากเลยนะครับ พระตำหนักภูพิงค์เป็นพระตำหนักที่ในหลวงและพระราชินีเสด็จมาประทับ ในช่วงเวลาที่เสด็จมาช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะในถิ่นธุระกันดารทางภาคเหนือ ระยะหลังๆนี้ท่านไม่ได้เสด็จมาที่ภูพิงค์เป็นเวลานาน อาจเป็นเพราะสุขภาพของพระองค์ จึงไม่สามารถเสด็จไปไหนไกลๆ คงจะมีแต่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน เท่านั้น ซึ่งต่อมาเข้าใจว่าท่านจะประทับอยู่ที่นี่เป็นการถาวร ปัจจุบันเราคงทราบกันว่าในหลวงเสด็จมาประทับรักษาอยู่โรงพยาบาลศิริราชมาเป็นเวลานานแล้ว โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถดูแลอย่างใกล้ชิด การที่พระองค์เสด็จประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชก็เพราะจะได้อยู่ใกล้ชิดกับหมอ และอยู่ใกล้เครื่องไม้เครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งทุกคนก็ทราบเป็นอย่างดีว่า พระองค์เคยเข้ารักษาผ่าตัดหัวใจ และผ่าตัดต่อมลูกหมากมาก่อน และ 2549 พระองค์ก็เข้ารับการผ่าตัดต่อมลูกหมาก หลังพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี เมื่อปี 2549 ได้ผ่านพ้นไป ตามคำแนะนำของนายแพทย์ ภาพการถ่ายทอดสดจากโทรทัศน์ในช่วงงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปีภายในพระที่นังจักรีมหาปราสาท ในค่ำคืนที่มีงานพระราชทานเลี้ยงต้อนรับพระมหากษัตริย์จากประเทศต่างๆ ทุกคนคงจำกันได้ ว่าในหลวงทรงทรุดตัวลงขณะก้าวเดินลงบันใด ซึ่งเป็นบันใดที่ทำขึ้นเป็นกรณีพิเศษเพื่อให้พระองค์ดำเนินได้สะดวกขึ้น เชื่อว่าคนไทยทุกคนที่เห็นการถ่ายทอดสดในครั้งนั้นคงรู้สึกใจหายใจคว่ำไปตามๆกัน หรือภาพที่พระราชินีทรงบีบพระหัตถ์ในหลวงจนแน่น ขณะประทับยืนอยู่ท้องพระโรงของพระที่นั่งจักรีฯ เหมือนเป็นการปลอบพระทัยในหลวงว่า อดทนอีกนิด ซึ่งทุกคนเข้าใจดีว่าในหลวงประทับยืนได้ไม่มั่นคงนัก หรือประทับยืนนานๆไม่ได้ เมื่อปี 2538 หรือ 16 ปีมาแล้ว คนไทยคงได้ยินข่าวว่าในหลวงของเราเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2538 ด้วยพระอาการหัวใจเต้นผิดปกติ ซึ่งแพทย์ได้ถวายการรักษาด้วยการวิธีทำบอลลูน หรือใช้เครื่องขยายหลอดเลือดหัวใจ ในเส้นเลือดที่มีแคลเซี่ยมเกาะ เพื่อให้การปั้มหรือการสูบฉีดของหัวใจ ทำงานไม่ติดขัดอันเนื่องจากการอุดตัน และการผ่าตัดทำบอลลูนหัวใจของในหลวงได้ผ่านพ้นไปด้วยดี จากนั้นพระองค์เสด็จมาพระตำหนักสวนจิตรลดาเพื่อทรงพักฟื้น ข่าวอาการของพระองค์ก็เงียบไปนาน ทางสำนักพระราชวังก็ไม่มีแถลงการณ์ออกมา ประชาชนคนไทยก็พยายามรับฟังข่าวสารและเป็นห่วงกังวลว่า จากนี้ไปพระอาการของพระองค์จะเป็นอย่างไรบ้าง จะปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้เหมือนเดิมหรือไม่ จากนั้นอีกราว 1 เดือนเห็นจะได้ โทรทัศน์โครงการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยได้เผยแพร่ภาพในหลวงทรงออกกำลัง ด้วยการเดินเร็วไปรอบๆพระตำหนักฯ ภาพข่าวครั้งนั้นทำให้คนไทยต่างปลาบปลึ้มใจเป็นอันมากที่เห็นพระองค์มีพระพลานามัยแข็งแรงขึ้น และทรงพระดำเนินได้อย่างรวดเร็ว โดยมีแพทย์และเจ้าหน้าที่ติดตามเป็นกลุ่มใหญ่ มีอยู่วันหนึ่งเมื่อปี 2538 (ปีเดียวกับที่ในหลวงทรงผ่าตัด) ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่าสวรรคต พร้อมกับตั้งพระบรมศพไว้ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง เชื่อว่าหลายคนคงเคยไปเคารพพระบรมศพกัน เนื่องจากเปิดให้ประชาชนเข้าร่วมแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายถึง 246 วัน จากวันที่ 19 กรกฏาคม 38 จนถึง 8 มีนาคม 39 และวันที่สมเด็จย่าสวรรคตนั้น ในหลวงพึ่งจะทำผ่าตัดใหญได้ประมาณ 2 เดือนกว่าๆ เป็นเวลาที่ทรงกำลังพักฟื้น และยังไม่เคยเสด็จฯไปที่ใดมาก่อนนับจากออกจากโรงพยาบาลศิริราช วันนั้นพาญาติไปสักการะสมเด็จย่าในพระที่นั่งดุสิตฯ และโชคดีที่ในหลวงท่านเสด็จมาพอดี แต่โชคไม่ดีที่ไม่เห็นพระองค์ เนื่องจากท่านเสด็จฯไปอีกประตูหนึ่ง แต่ก็มีโอกาสเห็นขบวนรถตามเสด็จที่แล่นเข้ามาจอดในบริเวณที่ยืน รถแต่ละคันที่มาก็มีความเร่งรีบ เปิด-ปืดประตูรถกันพรึบพรับ เห็นผู้ตามเสด็จรีบเดินจ้ำอ้าวเข้าไปด้านใน ขณะนั้นก็เห็นคุณหมอท่านหนึ่งถือกระเป๋าสีดำขนาดใหญ่ คาดว่ากระเป๋าใบนั้นเป็นเครื่องมือแพทย์ เมื่อลงจากรถก็เร่งเท้าตามคณะเข้าไปในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเช่นกัน สิ่งที่เห็นในวันนั้น เข้าใจได้ทันทีว่า พระองค์ยังต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด หรืออาจตลอด 24 ชั่วโมง หลายคนอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าในช่วงเวลานั้นในหลวงจะเสด็จมาในพิธีสวดพระอภิธรรมเป็นประจำทุกคืน รวมเป็นระยะเวลากว่า 276 วัน ซึ่งเป็นที่น่ากังวลสำหรับผู้ที่ทราบอาการของโรคหัวใจว่าเป็นระยะที่คนใข้ต้องการการพักฟื้น และภาพที่ประทับใจแก่พสกนิกรเป็นอันมากที่ชมการถ่ายทอดสดจากโทรทัศน์โครงการเฉพาะกิจ มีอยู่วันหนึ่งหลังพิธีสวดพระอภิธรรมพระบรมศพสมเด็จย่าเสร็จสิ้นแล้ว ในหลวงท่านยังไม่เสด็จกลับเหมือนเช่นทุกวัน แต่ท่านให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลเรื่องน้ำเข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานคำแนะนำ เนื่องจากขณะนั้นเกิดอุทกภัยน้ำท่วม ไม่พ้นแม้กระทั่งในย่านใจกลางเมืองของกรุงเทพมหานคร หรือพื้นที่กรุงเทพชั้นใน รวมไปถึงเขตพระบรมมหาราชวังนี้ด้วย หลายคนคงจำเหตุการณ์ที่ต้องเดินผ่านสะพานไม้ เพื่อขึ้นไปสักการะพระศพสมเด็จย่า เนื่องจากพื้นซีเมนต์ด้านล่างมีน้ำท่วมขังในช่วงเวลาที่น้ำขึ้น และเป็นแบบนี้มาหลายวัน ในหลวงท่านทรงงานบนพระที่นั่งดุสิตฯในบริเวณแคบๆของพระที่นั่งฯ ห่างจากแท่นพระศพสมเด็จย่าราว 5-6 เมตร ถ้าจำไม่ผิดก็มีอธิบดีกรมชลประทานฯ พร้อมกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาเรื่องน้ำเข้าเฝ้า วันนั้นถือเป็นรายการพิเศษที่โทรทัศน์โครงการเฉพาะกิจฯ ออกอากาศไปทั่วประเทศและคงอดปลึ้มใจกับในหลวงไม่ได้ว่า ท่าน ทรงงานโดยไม่เลือกเวลาและสถานที่ แม้แต่ในงานพิธีสวดอภิธรรมพระบรมศพสมเด็จย่าก็ไม่ละเว้น และไม่ถือพระองค์ วันนั้นถือเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งที่คนไทยได้ยินพระสุรเสียงของท่านในขณะทรงงาน อย่างชัดถ้อยชัดคำ พระองค์ทรงยืนพร้อมชี้ไปในแผนที่ขนาดใหญ่ที่เตรียมาด้วยพระองค์เอง โดยแผนที่ได้วางบนกระดานเล็กๆที่มีขาตั้ง 3 ขา ส่วนเจ้าหน้าที่ก็นั่งห้อมล้อมอยู่ใกล้ๆ หลายคนบอกว่าในหลวงกำลังทรงเลคเช่อร์ ซึ่งดูแล้วก็เหมือนเช่นนั้นจริงๆ ในหลวงทรงเลคเชอร์เป็นเวลานานนับชั่วโมง จนกระทั่งเสด็จพระราชดำเนินกลับ ภาพที่พระองค์ทรงงานหรือทรงแนะนำการแก้ปัญหาเรื่องน้ำแก่เจ้าหน้าที่นั้น เป็นช่วงเวลาที่สุขภาพของพระองค์ยังไม่ปกตินัก และยังมีแพทย์ด้านโรคหัวใจอยู่ไม่ห่างพระองค์นัก นับเป็นความห่วงใยของพระองค์ที่ทรงทราบความทุกข์ร้อนของราษฏร แม้ในยามเจ็บไข้ได้ป่วย 5 ธันวาคม 2554 เป็นวันครบ 84 พรรษา หากเป็นคนทั่วไปก็คงเรียกว่าล่วงสู่ในวัยชรา และคนไทยน้อยคนนักที่จะมีบุญและอายุยืนนานถึงเพียงนี้ ข่าวการประทับรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชในขณะนี้ ประชาชนคนไทยทุกคนต่างซาบซึ้งดีใจทุกครั้งที่เห็นพระองค์เป็นข่าวออกโทรทัศน์ หรือล่าสุดที่เสด็จมาให้โอวาทแก่ตุลาการศาล และเสด็จลงมายังท่าน้ำศิริราชเพื่อทอดพระเนตรสมรรถของเรือตรวจการณ์ และเรือยนต์พระที่นั่ง เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2554 โดยมีพระพักต์ที่แจ่มใส ประชาชนเห็นรอยยิ้ม และพระพักตร์ที่สดใสของพระองค์ แค่นี้ก็เป็นสุขแล้วละครับ ความสุขของประชาชนคนไทยในเวลานี้ก็คงไม่มีอะไรเท่ากับการที่เห็นพระองค์มีพระพลานามัยที่ดีขึ้น ในทางกลับกัน ความสุขให้ในหลวงก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าเห็นบ้านเมืองมีความสงบสุขไม่แตกแยก เสียงสะท้อนของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ (องค์เล็ก) เคยตรัสเล่าอาการของในหลวงอยู่บ่อยๆ ทำให้ทราบเรื่องพลานามัยของในหลวงเป็นระยะๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเล่าว่าในหลวงทรงทุกข์ใจเป็นอย่างมาก ที่คนไทยทะเลาะกัน แตกแยกกัน และในวันเกิดเหตุเผาบ้านเผาเมือง เป็นวันที่ในหลวงทรงทุกข์ใจเป็นอย่างมาก จนพระอาการที่กำลังดีขึ้นตามลำดับต้องทรุดลงไปอีก ในหลวงพระชนมพรรษาขนาดนี้แล้ว ก็เหมือนกับปู่ย่าตาทวดของพวกเรา ที่อยากเห็นลูกหลานทุกคนมีความสุข มีความรักและสามัคคีกัน ความสุขของคนที่มีอายุหรือในยามไม้ใกล้ฝั่งก็มีอยู่เท่านั้น ใครกำลังเหยียบย่ำ ใครกำลังด่าทออยู่ปาวๆ ว่าไม่เอาเจ้า ไม่เอาสถาบัน ถามหน่อยว่าไม่สงสารคนแก่บ้างหรือ คนแก่ที่ว่าก็ไช่ใครที่ไหน แต่เป็นเพียงเทพสมมุติ ที่ฟ้าส่งให้มาทำงาน ทำหน้าที่ เพื่อให้ทุกคนอยู่ดีกินดี และตลอดชีวิตของเทพสมมุติที่ว่า เห็นประจักษ์อยู่แล้วไม่ไช่หรือว่าได้สร้างคณูปราการต่อบ้านนี้ เมืองนี้ อย่างใหญ่หลวง ใครไม่รักพ่อ ก็จงออกไปเสียจากแผ่นดินนี้ โฟโต้ออนทัวร์ 24 มิถุนายน 2554 ต้องการนำภาพ หรือ บทความ จากโฟโต้ออนทัวร์ไปใช้งาน < คลิก >