เที่ยวเวียดนามใต้ ดาลัด - โฮจิมินห์ ตอนที่ 3
South Vietnam tour : Travel From Muine to Dalat
(เดินทาง 27 ธค.55 - 1 มค.56)
ครั้งก่อนได้พาไปเที่ยว “ทะเลทรายสีขาว” มีชื่อว่า White Sand Dunes ในเมืองมุยเน่ แต่คราวนี้จะพาไปดูทะเลทรายแดง (Red Sand Dunes หรือ Brown Sand Duned) ซึ่งเป็นทะเลทรายอีกแห่งหนึ่ง อยู่ห่างจากทะเลทรายขาวประมาณ 30 กม. ทั้งสองแห่งนี้อยู่ในเมืองมุยเน่เหมือนกัน
ทะเลทรายขาวเราไปถึงที่นั่นประมาณ 11 โมง ไปถึงก็เจอแดดเปรี้ยง นึกในใจว่ามันไม่สนุกเลยนะที่มาเที่ยวทะเลทรายกันในเวลานี้
หากนึกย้อนดูโปรแกรมทัวร์ก่อนจะมาถึงที่นี่ก็ดูจะคลาดเคลื่อนพอสมควร เช่นทานข้าวเช้าเสร็จก็ออกจากโรงแรมตอนเกือบๆจะสิบโมงเช้า ไม่ทราบเหมือนกันว่าคอยอะไรกันนักหนา หรือว่ารถมาช้า(มัวซ่อม) เพราะโดยปกติแล้วล้อจะหมุนเวลา 8.00 น. หรืออาจช้ากว่าเล็กน้อย แต่คราวนี้ออกสายมากทีเดียว
ช่างมัน... ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าทางไกด์คงจัดเวลาได้เหมาะสมลงตัวแล้วละ
แต่ลึกๆแล้วก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าไกด์จำเป็นหรือไกด์เวียดนามจะเช็คเรื่องเวลาหรือไม่ เพราะแกไม่เคยทำหน้าที่นี้มาก่อน เพียงแต่พูดอังกฤษปนภาษาเจ๊กได้คล่องหน่อย เนื่องจากเคยทำงานกับสำนักข่าวต่างชาติสมัยสงครามเวียดนามมาก่อน แต่ตอนนี้แกอายุราว 60 กว่าๆ แถมมีปัญหาสุขภาพ ปัสสาวะบ่อยมาก
รถออก 10 โมงเช้าก็ไม่ว่ากัน และไม่เห็นมีใครบ่นผิดสังเกต
แต่ปัญหาก็อยู่ตรงที่มาเที่ยวทะเลทรายขาวเอาตอน 11 โมง แถมแดดจัด ลำพังแดดขนาดนี้มันก็ร้อนเอาเรื่องอยู่แล้ว แต่นี่ต้องมาเดินกันบนเนินเขาทะเลทราย จึงไม่ต้องบอกเลยว่าจะร้อนขนาดไหน
ไม่พอพื้นทรายกำลังเริ่มร้อนระอุ มันทำให้อารมณ์ที่จะเดินไปไหนไกลๆ พลอยหดหายไปหมด แต่ไหนๆมาแล้วก็จำใจต้องเดิน แต่มันก็ร้อนและแดดจ้า ขนาดสวมแว่นตากันแดดอย่างดียี่ห้อดังมันก็เอาแทบไม่อยู่
ราวเที่ยงเศษๆเป็นอันจบการท่องเที่ยวทะเลทรายขาว
จากนั้นก็ต้องมาทะเลทรายแดงกันต่อ แต่ตอนนี้หลายคนชักขยาดเพราะต้องเจอกับสภาพเดิม “คือ ร้อน น่าเบื่อ ” แถมพื้นทรายก็ร้อนระอุทำให้เดินไม่ถนัด
นี่ขนาดเป็นทะเลทรายแบบไม่ใช่ของแท้ก็ยังทรมานทรกรรมกันขนาดนี้ หากเป็นทะเลทรายของจริงเหมือนทะเลทรายในประเทศทางตะวันออกกลางแล้วจะขนาดไหน เพราะได้ยินคนไทยที่เคยไปทำงานซาอุฯเล่าให้ฟังว่า ระหว่างทำงานจากอาคารหนึ่งไปอีกอาคารหนึ่งยังต้องวิ่งเลย เพราะมันร้อนมาก
ความจริงแล้วการเที่ยวทะเลทรายมุยเน่ เค้ามีวิธีหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องแดดและอากาศร้อน เพราะจะทำให้เที่ยวไม่สนุก และไม่ประทับใจ
ง่ายๆก็แค่ปรับเปลี่ยนเวลาเท่านั้นเอง
ได้ยินว่ากรุ๊ปทัวร์ที่จัดเป็นประจำเค้าจะนัดพบที่โรงแรมตอนตี 4 หรือตี 4ครึ่ง เพราะจะต้องเดินทางกันอีกราว 40 กม.จึงจะไปถึงทะเลทรายแดง โดยกะเวลาว่าไปถึงที่นั่นก็เป็นเวลาพระอาทิตย์ขึ้นพอดี
นึกในใจว่าถ่ายภาพทะเลทรายตอนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วน่าจะวิเศษทีเดียว ทรายก็ไม่ร้อน แดดไม่จัด แถมไม่แสบตาขณะเดินบนทะเลทราย
หลังเดินเล่นและถ่ายภาพที่ทะเลทรายขาวแล้วค่อยย้อนกลับมาที่ทะเลทรายแดงกันต่อ ถึงทะเลทรายแดงน่าจะราว 8 – 9 โมง แสงแดดยังอ่อนๆ แบบนี้ก็น่าจะทนไหว จากนั้นก็ไปอาบน้ำอาบท่าที่โรงแรมแล้วออกมาทานข้าวเช้ากัน แบบนี้ก็น่าจะดีเพราะมีโอกาสอาบน้ำล้างฝุ่นล้างทรายตามตัวไปด้วย
จึงแนะนำว่าหากใครจะมาเที่ยวในทริป มุยเน่-ดาลัดแล้ว ควรตรวจสอบรายละเอียดว่ามีโปรแกรมไปเที่ยวทะเลทรายเวลาไหนกัน
หากเจอโปรแกรมเที่ยงๆ บ่ายๆ แล้วก็จะเจอปัญหาเหมือนที่ผมกำลังเจออยู่นี้ อะไรไม่ว่ามันไม่ค่อยสนุกเลย
จากทะเลทรายสีขาวเราก็แวะทานข้าวมื้อเที่ยงกันก่อน
ภัตตาคารก็อยู่ตรงหน้าเนินทรายสีแดงทางฝั่งตรงกันข้ามของถนน
แต่ปรากฏว่าหลังทานข้าวเที่ยงแล้วแทบจะไม่มีใครไปบนเนินทรายสีแดง แค่มองขึ้นไปบนเนินทรายมันก็อ่อนเพลียละเหี่ยใจแล้ว สรุปว่ามีผมกับบางครอบครัวที่มากับเด็กๆเท่านั้นที่ขึ้นไปถ่ายภาพข้างบนกัน
แต่อยู่ไม่นานก็ต้องรีบลงมา เพราะพื้นทรายร้อนมาก แถมมีลมพัดอ่อนๆทำให้ฝุ่นทรายฟุ้งเข้าหน้าเข้าปาก จนต้องล้างหน้าล้างตากันหลายรอบ
เราออกจากมุยเน่เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองดาลัด ระหว่างทางมีบางช่วงเป็นภูเขาสลับกับสวนสนขนาดใหญ่ แต่รู้สึกว่าถูกชาวบ้านโค่นเพื่อปลูกไร่กาแฟ ดูท่าทางแล้วคงเอาไม่อยู่ อนาคตสวนสนคงหมดป่าแน่
เพราะระหว่างที่เดินทางเห็นเผาป่า และโค่นป่าสน อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย เห็นแล้วก็เสียดายสวนสนที่ขึ้นอย่างหนาทึบ และใช้เวลานานหลายปีกว่าจะโตได้ขนาดนี้
ดาลัด Dalat
เราไปถึงเมืองดาลัดกันประมาณ 2 ทุ่ม เท่ากับว่าเดินทางกันนานทีเดียว ระหว่างทางก็มีปัญหาอุปสรรคมากมาย ตามที่บรรยายไว้ใต้ภาพ สนใจก็อ่านกันเอาเองนะครับ
ดาลัดที่มาถึงในยามค่ำคืนนี้ เพียงแค่มองจากบนรถก็ตื่นตาตื่นใจกว่าที่คิดไว้มาก
อันดับแรก คือเรื่องอากาศ นึกไม่ถึงว่าจะเจอกับอากาศหนาวที่หนาวจริงๆ ผู้คนในเมืองใส่เสื้อหนาวกันหมดทุกคน
อันดับสอง คือที่นี่เป็นเมืองดอกไม้ เห็นแปลงดอกไม้สวยๆต้อนรับแขกผู้มาเยือนกันตั้งแต่ต้นทาง นี่ขนาดเห็นในตอนกลางคืนก็ตื่นเต้นแล้ว หากเป็นตอนกลางวันจะตื่นตากันขนาดไหน
อันดับสาม คือพื้นที่ในเมืองดาลัดเป็นเนินเขา มีพื้นที่สูงๆต่ำๆเหมือนกับเมืองเล็กๆบางประเทศในยุโรป ทำให้ดูมีเสน่ห์มาก
อันดับสี่ คือบ้านเรือนจะปลูกทรงยุโรป และพร้อมใจทาสีออกเหลืองออกแดงกันทั่วทั้งเมือง เรียกว่าชัดเจนกว่าที่เคยเห็นในเมืองอื่นๆเช่นฮานอยหรือเมืองเว้
อันดับห้า คือเมืองนี้คนไม่พลุกพล่าน เรียกว่าแบบชิลๆก็น่าจะได้ สามารถเดินทางท้องถนนโดยไม่ต้องกลัวรถชนเหมือนเมืองอื่นๆ
อันดับหก คือได้มาพักที่โรงแรมกลางเมือง โรงแรมนี้มองจากภายนอกก็ไม่ใหญ่โตนัก แต่ห้องพักสุดเริด ที่ชอบอีกอย่างคือไม่ต้องเปิดแอร์ เพราะที่นี่ไม่มีแอร์ และโรงแรมทุกแห่งก็ไม่ติดแอร์ แต่ระดับความเย็นในห้องน่าจะพอๆกับห้องแอร์หรือประมาณ 25 องศา
วันนี้เพลีย พรุ่งนี้กะว่าจะตื่นแต่ไก่โห่เพื่อชมบ้านชมเมืองตามที่เคยกระทำอยู่เป็นประจำ ไกด์นัดเวลา Morning Call หกโมง ทานข้าวเจ็ดโมง
แต่พรุ่งนี้ตั้งใจจะตื่นตีสีกว่าๆ ตีห้าค่อยลงไปสำรวจพื้นที่
พบกันใหม่ในตอนที่ 4 แล้วจะเห็นภาพเมืองดาลัดว่าน่าเที่ยวขนาดไหน
วันนี้ขอตัวก่อนนะครับ
โฟโต้ออนทัวร์
27 สิงหาคม 2556
|