เที่ยวเวียดนามใต้ ตอนที่ 10 โฮจิมินห์ซิตี้
(เดินทาง 27 ธค.55 - 1 มค.56)
ภาพชุดเวียดนามใต้ตอนที่ 10 เป็นภาพเมือง " โฮจิมินห์ซิตี้ " หลังเดินทางมาจากเมือง "ดาลัต " ดินแดนแห่งดอกไม้ และเป็นเมืองสุดแสนโรแมนติคของประเทศเวียดนาม
เมืองดาลัต จึงเป็นที่หมายตาของหนุ่มสาวชาวเวียดนามเป็นอย่างยิ่ง ชนิดที่อยากเติมเต็มความรักให้มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ต้องมาที่เมืองดาลัตที่มีทั้งสวนดอกไม้และอากาศที่เย็นสบาย บ้านเมืองก็น่าอยู่แตกต่างไปจากเมืองอื่นๆของเวียดนาม
จากดาลัตเราเดินทางมาถึงย่านชานเมืองโฮจิมินห์ในตอนเย็นของวันที่ 30 ธค.(ปี55)พอเข้าเมืองก็เห็นความวุ่นวายทั้งรถและคนจนลายตาไปหมด แต่อาจเป็นภาพที่เคยชินสำหรับผู้ที่เคยมาเที่ยวเวียดนาม และพบว่าเป็นเมืองไหนๆก็เป็นแบบนี้
โฮจิมินห์ชิตี้ อดีตมีชื่อว่า “เมืองไซ่ง่อน“ และเคยเป็นเมืองหลวงเก่าในสมัยสงครามเวียดนาม ครั้นเวียดนามรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แบ่งแยก เหนือ-ใต้ เวียดนามจึงกลับสู่สภาพเดิมโดยมีกรุงฮานอยเป็นเมืองหลวง ส่วนเมืองไซ่ง่อนได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “โฮจิมินห์ซิตี้” เพื่อเป็นเกียรติแต่ประธานาธิบดี โฮจิมินห์ ผู้กอบกู้เอกราชจากฝรั่งเศส
โฮจิมินห์ซิตี้เป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งที่สุด และเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 1 ของเวียดนาม และอาจเป็นระดับต้นๆของโลก สภาพการจราจรบนท้องถนนที่มีแต่รถมอเตอร์ไซด์ จึงเป็นภาพที่ Amazing สำหรับผู้มาเยือน
กรุงเทพบ้านเราก็นับว่าเป็นเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นทั้งรถยนต์และรถมอเตอร์ไซด์ แต่เวียดนามโดยเฉพาะเมืองโฮจิมิห์ซิตี้ ใครมาเห็นแล้วอาจตกใจว่ามอเตอร์ไซด์มีมากมายขนาดนี่เลยหรือ
บ้านเราอัตราส่วนของรถที่วิ่งบนท้องถนนในกทม.ระหว่างรถเก๋งและพาหนะอื่นๆ เมื่อเทียบกับมอเตอร์ไซด์น่าจะอยู่ในอัตราส่วน 10 ต่อ 1 หรือรถอื่นๆ 10 คัน มอเตอร์ 1 คัน หากรถอื่นมี 100 คัน มอเตอร์ไซด์ก็จะ 10 คัน
แต่สำหรับเมืองโฮจิมินห์และเมืองใหญ่ๆของเวียดนามอาจตรงกันข้ามกับบ้านเราคือรถอื่น 1 คัน แต่มอเตอร์ไซด์ 10 คัน หรือ 1 ต่อ 10
จริงเท็จแค่ไหน ก็ลองกะประมาณจากภาพในตอนที่ 1 ตอนที่ 10 และตอนที่ 11 หรือตอนต่อไป
หลายคนอาจสงสัยว่า ท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถนานาชนิดแบบนี้จะเดินข้ามถนนกันอย่างไร แถมสะพานลอยก็ไม่มี รถไม่เฉี่ยวชนเอาหรือ ต้องบอกว่าเค้ามีเทคนิคครับ คือให้เดินข้ามถนนโดยรักษาความเร็วปกติ อย่าวิ่ง อย่าช้า เมื่อรถคันไหนบีบแตรก็ไม่ต้องสนใจเนื่องจากเค้าเตือนเราว่ามีรถวิ่งมา(ต่างกับบ้านเราที่คิดว่าบีบไล่) พยายามรักษาความเร็วของการเดินให้พอเหมาะพอควร รับรองไม่โดนชนแน่นอนครับ
ใครไปเที่ยวเวียดนามแล้วลองข้ามสัก 2-3 ครั้ง ูก็จะชิน อีกเรื่องหนุึ่งที่คนไทยไม่คุ้นเคยก็คือ บนท้องถนนในเวียดนามจะได้ยินแต่เสียงบีบแตรจนน่ารำคาญ แท้จริงแล้วเค้าไม่ได้บีบแตรไล่คนเหมือนบ้านเรา แต่เพื่อเตือนว่ามีรถมา ผู้ที่กำลังข้ามถนนจึงไม่ต้องเหลียวไปมอง หรือเดินหลบ ให้รู้แค่ว่าข้างหลัง หรือข้างๆมีรถมาเท่านั้นเอง
สำหรับกฏจราจรที่เวียดนามจะให้ชิดขวา ต่างกับบ้านเราที่วิ่งชิดซ้าย ดังนั้นทุกครั้งที่ข้ามถนนจึงต้องมองซ้ายก่อนเนื่องจากรถจะวิ่งเลนขวา เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงข้าม และเมื่อข้ามไปถึงครึ่งถนนแล้วจึงมองขวาอีกครั้ง นี่เป็นหลักง่ายๆ 2-3 ข้อ และอย่าเผลอมองขวาก่อนแบบบ้านเรานะครับ หากรถมาเร็วมากก็อาจโดนชนแน่
ระบบการจราจรของประเทศต่างๆ สีแดงชิดขวา สีน้ำเงินชิดซ้าย
Hoang Phu Gia Hotel
สำหรับคืนนี้เราพักที่โรงแรม Hoang Phu Gia Hotel (อ่านว่า ฮวาง ฟู ญา) อยู่บนถนน Bui Thi Xuan Street กลางเมืองโฮจิมินห์ ในย่านที่มีต้นยางนาขนาดใหญ่สองข้างทางและสูงชลูดจนถึงยอดตึก ส่วนถนนย่านอื่นๆที่เห็นก็มีต้นไม้มากพอๆกัน แต่ไม้ใหญ่ที่มีอายุเกือบ 100 ปี น่าจะมีที่น่าจะมี่ที่นี่เดียว
ถนนหนทางในเวียดนามปลูกต้นไม่จนดูร่มรื่นเกือบทุกเมือง เหตุผลก็คือช่วยสร้างความร่มรื่นให้กับผู้คนที่สัญจรบนท้องถนน โดนเฉพาะรถจักรยานและรถมอเตอร์ไซด์
ถนน Bui Thi Xuan มีโรงแรมระดับเดียวกันหลายแห่ง และถนนเส้นนี้ก็ถือว่าอยู่ใกล้สถานที่สำคัญๆกว่าย่านอื่นๆ ชนิดเดินไปได้ ด้านหน้าโรงแรมทีมาพักอาจดูคับแคบหรือมีหน้ากว้างประมาณตึกแถว 4-5 คูหา แต่ตัวโรงแรมสูงราว 10 กว่าชั้น
โรงแรมระดับ 3-4 ดาว ย่านกลางเมืองโฮจิมินห์ ส่วนใหญ่จะสร้างปะปนไปกับอาคารพาณิชย์ทั่วไป ไม่เป็นสัดเป็นส่วนหรือมีบริเวณมากเหมือนบ้านเรา ใครคิดสร้างโรงแรมแต่มีพื้นที่จำกัด แนะนำให้มาดูที่เวียดนามครับ เพื่อดูว่าเค้าออกแบบก่อสร้างกันอย่างไร ห้องนอนก็กว้างขวาง มีลีฟท์ มีห้องอาหารมื้อเช้าสำหรับผู้มาพักได้อย่างลงตัว
เรื่องโรงแรมในเวียดนาม เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คนไทยรู้สึกแปลกใจว่่าสร้างได้อย่างไรในพื้นที่อันจำกัด
สำหรับโรงแรมที่เรามาพักก็ยังนึกไม่ออกว่าหากลูกค้ามีรถส่วนตัวแล้วจะจอดกันที่ไหน ใต้ตึกโรงแรมก็มีพื้นที่เพียงน้อยนิด และไว้สำหรับจอดรถมอเตอร์ไซด์ของพนักงานเท่านั้น แต่ก็เชื่อว่าเรื่องนี้น่าจะมีทางออก ส่วนโรงแรมอื่นที่อยู่ใกล้เคียงดูแล้วก็ไม่ต่างกัน อย่างมากก็อาจมีพท้นที่จอดรถใต้ถุนตึกเพียงไม่กี่คัน
เรื่องที่จอดรถก็เป็นปัญหาสำคัญของเมืองใหญ่ๆในเวียดนาม และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่คนเวียดนามนิยมเดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถมอเตอร์ไซด์ แม้แต่คนมีฐานะก็นิยมใช้มอเตอร์ไซด์มากกว่ารถเก๋ง
เวียดนามเป็นประเทศที่มีพื้นที่เพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร (ดูภาพด้านล่างประกอบ)
ภาพจากตารางจะเห็นว่าในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร เวียดนามมีประชากรมากกว่าไทยถึง 2.2 เท่า
เวียดนามมีประชากรมากกว่าไทยเราประมาณ 20 ล้านคน
ปัจจุบัน(ปี58)ประชากรเวียดนามก็เฉียดๆ 100 ล้านเข้าไปแล้ว แถมอัตราการเกิดของประชากรเวียดนามก็สูงกว่าบ้านเรา ใครไปเที่ยวเวียดนามอาจเจอผู้หญิงเดินอุ้มท้องมาก และเห็นการจัดงานแต่งงาน จนเป็นเรื่องปกติ
หลังจากที่เราเก็บกระเป๋าเข้าห้องพักก็ต้องออกไปทานอาหารเย็น แต่มื้อนี้พิเศษหน่อยตรงที่ได้ทานบนภัตตาคารลอยน้ำที่จุผู้คนได้หลายร้อยคน ขณะนั่งทานอาหารเรือก็พาล่องไปตาม “แม่น้ำไซ่งอน” เพื่อชมทัศนียภาพ
คืนนี้การจราจรบนเส้นทางที่ไปท่าเรือเรือติดขัดเอามากๆ อาจเป็นเพราะเป็นคืนวันที่ 30 ธค.55 หรือวันก่อนสิ้นปี ผู้คนจึงออกมาเที่ยวและจับจ่ายซื้อของกันมากเป็นพิเศษ
เมื่อมาถึงท่าเรือก็แปลกใจ ที่เป็นเรือลำใหญ่มาก เข้าใจว่าสร้างเพื่อทำเป็นภัตตาคารโดยเฉพาะ ตัวเรือแบ่งเป็น 3 ชั้น แต่ละชั้นจุผู้คนได้เป็นร้อยๆ โครงสร้างเรือดูจะบอบบางมากทีเดียว หากเกิดอะไรขึ้นกลางแม่น้ำก็คงได้แต่สวดมนต์ขอพร
เมื่อรถพามาถึงท่าเรือก็ต้องรอคิว กว่าจะขึ้นเรือ กว่าจะหาที่นั่ง และกว่าอาหารจะเสริฟ ดูวุ่นวายพอสมควร และยิ่งมาเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่มีมากจนแถบจะเหมาลำ จึงวุ่นวายหนักเข้าไปอีก เพราะพี่แกเสียงดังโดยไม่เกรงใจ
วันนี้โชคดีที่ไม่ได้เข้าห้องน้ำบนเรือ หากเข้าไปใช้บริการก็อาจตกตะลึงกับทุ่นระเบิดที่นักท่องเที่ยวจีนนำมาปล่อยทิ้งไว้
พนักงานบริการที่นี่แต่งชุดสีขาวคล้ายทหารเรือ สวมหมวกแก๊ปทั้งหญิงและชาย ดูเก๋ไก๋ไม่น้อย มีการยืนเป็นระยะๆรอบๆลำเรือเหมือนทหารเรือไม่มีผิด แต่บางคนดูแล้วอาจขัดความรู้สึกไปบ้าง เช่นผู้ชายเดินตุ้งติ้ง หรือเดินสะบัดก้น
คืนนั้นพยายามหาทหารเรือหญิงที่หน้าตาดีๆ แต่ก็หายากทีเดียว ได้มาแค่ 2 คน ตามที่เห็นนั่นแหละครับ ภาพที่ออกมาอาจดูเกร็งไปหน่อย กึ่งยิ้ม กึ่งเฉยๆ
นี่หากเป็นสาวไทยน่าจะดีกว่านี้เยอะ คงไม่เคอะเขิน และไม่ยืนเกร็ง แถมแจกรอยยิ้มให้ไม่อั้น ภาพลักษณ์สาวไทยเวลายิ้มจึงดูมีเสน่ห์กว่าสาวประเทศอื่น คำว่า “สยามเมืองยิ้ม” จึงอยู่ในความทรงจำของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่มาเยือนเมืองไทย
เรื่อง “ยิ้ม“ อาจดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนไทย แต่ถ้าทุกคนมีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศแล้วก็จะเข้าใจ ว่าทำไมต่างชาติจึงยกให้ไทยเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม
ขณะทานอาหาร เรือก็วิ่งไปอย่างช้าๆ บางครั้งก็สวนกับเรือลำอื่นที่เป็นภัตตาคารลอยน้ำเช่นกัน มาทราบทีหลังว่าเรือจะออกจากท่าวันละ 2 รอบ เข้าใจว่าตอนหกโมงกับตอน 1 ทุ่ม
สำหรับกรุ๊ปเราน่าจะมาในรอบ 1 ทุ่ม เนื่องจากมืดแล้ว ขณะที่เรือออกจากท่าก็มองไม่เห็นอะไรเลย เรียกว่ามึดรอบด้าน อาคารใหญ่ๆริมแม่น้ำไซ่ง่อนมีให้เห็นน้อยมาก ผิดกับแม่น้ำเจ้าพระยาในบ้านเรา
ที่เห็นโดดเด่นก็น่าจะเป็นตึก Bitexco Financial Tower หรืออาคารไบเทกโคไฟแนลเชี่ยล มี 68 ชั้น สูง 262 เมตร สูงที่สุดในเวียดนาม
ตึกนี้ดูสวยและโดดเด่นทางสถาปัตย์กรรม เขาบอกว่าเป็นรูปดอกบัว แต่ดูยังไงก็ไม่เห็นเป็นดอกบัวแม้แต่น้อย ส่วนจานกลมๆที่ยื่นออกมาจากตัวตึกนั้น เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์
ในปี 55 คนเวียดนามรู้สึกจะภูมิใจกับตึกสูงแห่งนี้มาก เนื่องจากมีความทันสมัย และยังเป็นสัญญลักษณ์ของความเจริญก้าวหน้า และเป็นศูนย์กลางของสถาบันการเงินหลักๆของเวียดนาม
ประเทศที่เจริญแล้วมักจะมีอาคารสถาบันการเงินที่มีความใหญ่โต หรือบางแห่งก็นิยมมาตั้งในย่านเดียวกัน คล้ายกับนิคมอุตสาหกรรมฯประมาณนั้น เช่นเมืองไทยก็มีย่านสีลม ส่วนที่สิงคโปร์ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ ฯลฯ ก็มีสถานที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินเช่นเดียวกัน
เมื่อเรือพากลับมาถึงท่าก็เดินทางกลับโรงแรม
สำหรับตอนต่อไปจะพาไปชมสถานที่สำคัญๆของเมืองโฮจิมินห์ ส่วนจะมีอะไรที่น่าสนใจก็ต้อง ติดตามชมนะครับ
และท่านใดที่ต้องการทราบการอัพเดตเรื่องราวต่างๆของโฟโต้ออนทัวร์ ทั้งการท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ ก็เข้าไปที่ facebook ของเรา แล้วคลิก like หรือ follow ท่านก็จะทราบความเคลื่อนไหวทั้งหมดของเรา
โฟโต้ออนทัวร์
17 มีนาคม 2558
พอดีขณะเขียนบทความเรื่องเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ ก็มีข่าวล่าจากเวียดนาม
เมื่อช่วงบ่ายๆของวันนี้ (17 มค.58) เป็นคลิปภาพที่น่าหวาดเสียว
เด็ก 5 ขวบ ตกลงมาจากว่าวยักษ์ ตายสนิท
ข่าวบอกว่า
ในเทศกาลว่าเมืองโฮจิมินห์ ขณะกำลังๆปล่อยว่าวยักษ์ ปรากฏว่าสายว่าวไปเกี่ยวเท้าเด็ก วัย 5 ขวบ จนลอยละล่องขึ้นท้องฟ้าสูง 18 เมตร และตกลงมาในที่สุด ผลเสียชีวิตคาที่
เรื่องการป้องกันความปลอดภัย ประเทศเวียดนามก็ไม่ต่างกับไทย ในฐานะที่เป็นประเทศด้อยพัฒนาทั้งคู่ ข่าวทำนองนี้จึงมีให้เห็นเป็นประจำ
คำว่าประเทศที่เจริญแล้ว คงไม่ไช่แค่ประเทศมีรายได้ มีเงินมีทองมากมาย สำคัญที่สุดคือการพัฒนาจิตใจ และพัฒนาการศึกษา ้องมีกฏกติกาในการรักษาความปลอดภัย
มีความระมัดระวัง
หรือหาทางป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ข่าวเด็กเสียชีวิตในรถตู้ตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์มราเคยเกิดขึ้นมาแล้ว 2-3 ครั้ง ที่เกิดจากความประมาท
เลินเล่อของโชเฟอร์
หรือเด็กถูกกระจก Sun Roof บนหลังคารถเก๋ง หนีบคอตาย เมื่อไม่นานมานี้ น่าจะเป็นอุทาหรณ์
สโลแกนที่ว่า "ความประมาทคือความตาย " จึงใช้เตือนสติได้ทุกยุคทุกสมัย
|