|
Middle Vietnam Part 3
ทริปเวียดนามกลาง ตอนเที่ยวเมืองเว้
(เดินทางเดือนตุลาคม ปี55)
ตอนที่แล้วเราออกจากอุโมงค์วินห์ม็อกในเขตจังหวัดกวางตรีเพื่อเข้าสู่เมืองเว้ ซึ่งเป็นการเดินทางจากเหนือลงใต้ โดยใช้เส้นทางที่เลียบไปตามแนวชายฝั่งทะเลจีนใต้
จากอุโมงค์วินห์ม็อกสู่เมืองเว้ ใช้ระยะทางเกือบ 100 กม. (ตามแผนที่)

ระหว่างทางเราแวะอนุสรณ์สถานที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเบนไห่ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะแวะถ่ายภาพกัน เนื่องจากที่นี่มีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยสงคราม กับฝรั่งเศสจนมาถึงสมัยสงครามเวียดนาม
แม่น้ำเบ่นไห่ เป็นแม่น้ำประวัติศาสตร์สำคัญที่อยู่กึ่งกลางของประเทศ เคยใช้เป็นเส้นแบ่งดินแดนระหว่างประเทศเวียดนามเหนือ กับ เวียดนามใต้ ตามสนธิสัญญาเจนิวาที่ทำขึ้นกับฝรั่งเศส หลังฝรั่งเศสพ่ายแพ้แก่ "กองทัพปลดแอกเวียดนาม" หรือ "กองทัพของโฮจิมินห์"
การที่เวียดนามเคยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแต่มาถูกแบ่งแยกเป็นเหนือเป็นใต้ก็ด้วยอิทธิพลของ "ลัทธิคอมมิวนิสต์ " ที่กำลังแผ่ขยายลงมาในกลุ่มประเทศอินโดจีน และส่วนอื่นๆของโลก
เวียดนามทางตอนเหนือมีจีนกับรัสเซียให้การสนับสนุน จุดประสงค์ก็เพื่อต้องการให้ประเทศเวียดนามเปลี่ยนมาปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
การที่กองทัพปลดแอกของโฮจิมินห์ได้รับชัยชนะต่อกองกำลังของฝรั่งเศสในสงครามเดียนเบียนฟู ก็ต้องถือว่าประเทศจีน(คอมมิวนิสต์)เป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
หลังจากเวียดนามแบ่งแยกออกเป็นเหนือ-ใต้ จึงทำให้จีนเข้ามามีอิทธิพลต่อเวียดนามเหนือได้มากขึ้น เท่ากับว่าประเทศเวียดนาม(เหนือ)กลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ไปโดยปริยาย ขณะเดียวกัน "โฮจิมินห์" ก็ได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนามเหนือ
ส่วนเวียดนามใต้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของประเทศสหรัฐอเมริกาและชาติยุโรป เช่นอังกฤษกับฝรั่งเศส
การเข้ามาเกี่ยวข้องกับเวียนามของชาติมหาอำนาจ ก็เพราะต้องการหยุดยั้งการแผ่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์
ประเทศเวียดนามจึงกลายเป็นสมรภูมิต่อสู่ระหว่างฝ่ายโลกเสรี กับ ฝ่ายคอมมิวนิสต์
แม่น้ำเบนไห่ที่แบ่งเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ จึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทหารของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะที่จังหวัดกวางตรี และหมู่บ้านวินห์ม็อก ซึ่งเป็นพื้นที่ของเวียดนามเหนือ ได้ถูกกองทัพอากาศสหรัฐส่งเครื่องบิน B52 มาถล่มอย่างหนัก จนชาวบ้านต้องขุดอุโมงค์ เพื่อหลบภัย
ส่วนตามแนวชายแดนของเวียดนามใต้ก็ถูกแทรกซึมจากกองทัพเวียดกงของเวียดนามเหนือ เมืองเว้ซึ่งอยู่ใกล้เส้นพรมแดน กลายเป็นที่ซ่องสุมและเป็นที่หลบซ่อนของทหารเวียดกงที่มีความชำนาญการรบแบบกองโจร
ทำให้กองทัพสหรัฐต้องยิงจรวดเข้าถล่มทลาย ไม่เว้นแม้แต่พระราชวังเมืองเว้ซึ่งเวลานั้นเป็นวังร้าง และกลายเป็นที่ซ่องสุมของทหารเวียดกง ทำให้อาคารต่างๆภายในพระราชวังเสียหายจากแรงระเบิดและเกิดไฟไหม้
เดินทางต่อ
เราแวะที่จุดยุทธศาสตร์ริมแม่น้ำเบ่นไห่ได้ไม่นาน ก็ต้องเดินทางต่อไปยังเมือเว้เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน จากนั้นก็จะไปชมวัดเทียนมู่ วัดพุทธนิกายเซ็นที่สำคัญของเมืองเว้ และ่เคยเป็นศุนย์กลางพุทธศาสนาในอดีต
ระหว่างทางจากเมืองกวางตรีสู่เมืองเว้ จะเห็นนักเรียนกำลังขี่จักรยานกลับบ้าน และจะขี่กลับมาโรงเรียนในตอนบ่าย บรรยากาศบนถนนในเวลานี้จึงดูคึกคัก ภาพที่เห็นส่วนใหญ่เป็นนักเรียนหญิงที่แต่งชุดสีขาวหรือ "ชุดอ่าวหย่าย-Ao Dai"
หลังอาหารเที่ยงก็ไปแวะวัดเทียนมู่ที่อยู่ใกล้ๆกับภัตตาคาร
วัดเทียนมู่ (Thien Mu Temple) เป็นวัดพุทธศาสนานิกายมหายาน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม อยู่ห่างจากใจกลางเมืองเว้ราว 4 กม.
สิ่งปลูกสร้างและเป็นสัญญลักษณ์สำคัญภายในวัดเทียนมู่ ได้แก "เจดีย์ 8 เหลี่ยม" แบ่งเป็น7 ชั้น แต่ละชั้นแสดงถึงภพชาติ(ความหมายก็คือสวรรค์มี 7ชั้น)
วัดเที่ยนมู่สร้างเมื่อค.ศ.1601(พ.ศ.2414) ปัจจุบันมีอายุ 414 ปี นับว่าเป็นวัดเก่าแก่ และเคยเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาเวียดนาม ในสมัยที่ยังปกครองด้วยระบอบกษัตริย์
เจ้าอาวาสวัดเทียนมู่ตกเป็นข่าวที่โด่งดังไปทั่วโลกเมื่อกลางปี คศ.1963
11- มิถุนายน คศ.1963 เจ้าอาวาสวัดเทียนมู่ นามว่า "พระทิจ กวาง ดึ๊ก (Thick Quang Doc)" ได้ประท้วงต่อต้านรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ด้วยการราดน้ำมันเผาตนเอง จากกรณีที่รัฐบาลออกกฏหมายริดรอนสิทธิและเสรีภาพของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ
ก่อนหน้านั้น พระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก วัย 73 ปี จากวัดเทียนมู่ ทนเห็นความทารุณโหดร้ายจากการใช้อำนาจของรัฐปราบปรามเข่นฆ่าชาวพุทธต่อไปไม่ได้ จึงได้ประกาศอุทิศชีวิตเพื่อป้องกันพระพุทธศาสนา โดยนั่งรถออสตินออกจากวัดเทียนมู่ในคืนวันที่ 10 มิถุนายน 2506 ถึงกรุงไซ่ง่อนในเช้าวันที่ 11 มิถุนายน 2506 เพื่อร่วมประท้วงกับกลุ่มชาวพุทธ ที่กำลังเดินขบวนอยู่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล
หลังจากพระ ทิจ กวาง ดึ๊ก ได้เขียนข้อเรียกร้องถึง 6 ข้อ ให้รัฐบาลหยุดทารุณกรรมในเช้าวันที่ 10 มิถุนายน 2506 จากนั้นท่านก็ได้เข้าสู่ขบวนพุทธศาสนิกชนประมาณ 1,000 คนด้วยความสงบ เพื่อสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้พระภิกษุ สามเณร แม่ชี และพุทธศาสนิกชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ขับรถพุ่งชนขบวนผู้ประท้วงเสียชีวิตในวันที่ 8 พฤษภาคม 2506 ที่ผ่านมา (มีพระและนางชีเสียชีวิต 70 คน ชาวพุทธอื่นๆอีก 30 คน) จากนั้นขบวนชาวพุทธก็เดินต่อไปอย่างสงบ โดยมีรถนำพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก ไปยังกลางเมืองหลวง (กรุงไซ่ง่อน)
พระ ทิจ กวาง ดึ๊ก ก้าวลงจากรถแล้วนั่งขัดสมาธิกลางวงเวียนซึ่งมีชาวพุทธล้อมเป็นวงใหญ่
จากนั้นก็มีผู้หยิบถังน้ำมันเบนซิน 5 แกลลอนออกมาจากรถออสติน แล้วเอาน้ำมันราดบนร่างกายของพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก จนหมด จากนั้นก็เอาไฟจุด ไฟลุกโชติช่วงท่วมร่างอยู่นานประมาณ 10 นาที ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้นก็หงายหลังอย่างสงบ โดยไม่ได้แสดงอาการทุกขเวทนาทุรนทุรายแต่อย่างใด
(คลิกชมภาพเหตการณ์วันช็อกโลก 11 มิย.2506)

เหตุการณ์ก่อนหน้าวันช็อกโลก
5 พฤษภาคม พ.ศ.2506 หรือก่อนหน้าพระเผาตัวเองได้ไม่่นาน โง ดินห์ ถึก สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิคเวียตนาม ซึ่งเดินทางไปประชุมสังคายนาวาติกัน 2 ( VATICAN COUNCIL 2) ณ กรุงวาติกัน ประเทศอิตาลี
โดยได้แถลงต่อที่ประชุมวาติกันว่า "ประเทศเวียดนามเป็นประชากรของพระเจ้า ประชาชนเวียตนามล้วนนับถือในพระเจ้า และซื่อสัตย์ต่อสันตะปาปา"
พร้อมกันนั้น โง ดินห์ ถึก ได้โทรเลขด่วน สั่งให้บาทหลวงใต้บังคับบัญชาของตนในเมืองเว้ ให้ประชาชนทุกบ้านชักธงรูปไม้กางเขนขึ้นที่หน้าบ้าน เพื่อจะได้เป็นข่าวทางสื่อมวลชน ยืนยันให้สันตะปาปา เชื่อถือ และมอบตำแหน่งคาร์ดินัล ให้กับโง ดินห์ ถึก
การบังคับให้ชาวเมืองเว้ซึ่งเป็นชาวพุทธชักธงไม้กางเขนที่หน้าบ้าน ยิ่งสร้างความโกรธแค้นชิงชังต่อรัฐบาลมากขึ้น
สำหรับสาระสำคัญที่รัฐบาลโง ดินห์ เดียม ได้ปฏิบัติต่อชาวพุทธที่มีจำนวนถึงร้อยละ 90 ของประเทศ ได้แก่
1 บิดเบือนและแก้ไขหลักสูตรวิชาพุทธศาสนาของกระทรวงศึกษาธิการ
2 ห้ามชาวพุทธทำกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนา เว้นแต่จะได้รับอนุญาต และต้องระบุวันเวลาให้ชัดเจน รวมทั้งต้องระบุจำนวนว่ากี่คน
3 ให้สิทธิพิเศษแก่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ รวมถึงประชาชนที่นับถือศาสนาคริสต์ ส่วนผู้นับถือศาสนาพุทธกลายเป็นบุคคลชั้นสอง
5 พยายามที่จะให้ประเทศเวียดนามเปลี่ยนจากศาสนาพุทธมานับถือศาสนาคริสต์
6 ไม่อนุญาตให้ออกหนังสือพิมพ์ทางพุทธศาสนา
7ให้งดออกรายการทางวิทยุกระจายเสียงในวันสำคัญทางศาสนา
8 ให้ประชาชนนำภาพพระเยซูที่ได้รับมาจากทางการ นำมาตั้งไว้ในบ้าน หากถูกทำลายจะได้รับโทษอย่างร้ายแรง
เหตุการณ์ที่กระทบต่อพุทธศาสนาในเวียดนาม เกิดขึ้นในสมัยที่เวียดนามได้อิสระภาพจากฝรั่งเศส แต่หลังจากนั้นฝรั่งเศสก็ยังมีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครองของเวียดนาม และเป็นชนวนให้เกิดสงครามเวียดนามในเวลาต่อมา

ภาพจุดจบของประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม ที่เป็นชาวคริสต์ และเป็นหุ่นเชิดของฝรั่งเศส ต้องจบชีวิต
จากการปฏิวัติของนายพล เหงียนเกากี
ช่วงสงครามเวียดนาม วัดวาอารามที่เป็นเขตปกครองของเวียดนามเหนือ ถูกทหารเข้ายึดและถูกปิดตาย พระสงฆ์จำนวนหนึ่งได้หลบหนีไปอยู่ประเทศกัมพูชา จนกลายเป็นพลเมืองของกัมพูชาไปในที่สุด
ส่วนเวียดนามใต้ แผ่นดินหลายแห่งไม่มีความสงบ เนื่องจากถูกแทรกซึมจากทหารเวียดนามเหนือ หรือเวียดกง วัด รวมทั้งสถานที่สำคัญหลายแห่งกลายเป็นที่ซ่องสุมของพวกเวียดกง จึงถูกกวาดล้างจากทหารเวียดนามใต้และทหารสหรัฐ
หลังจากกองทัพของอเมริกาถอดตัวออกไปจากเวียดนาม ทหารเวียดนามเหนือก็กรีฑาทัพเข้ายึดเวียดนามใต้ ทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์แบบเต็มตัว
เป็นการปิดฉากของพุทธศาสนาในเวียดนามไปพร้อมๆกัน เนื่องจากการปกครองโดยลัทธิคอมมิวนิสต์ จะไม่มีคำว่าศาสนา ประชาชนต้องเลิกนับถือศาสนา
ปัจจุบันชาวเวียดนามส่วนใหญ่เท่ากับว่าเป็นคนไม่มีศาสนา
ตามสถิติที่มีการสำรวจพบว่า
ร้อยละ 45.3 นับถือบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว รวมทั้งการเซ่นไหว้ภูตผี
ร้อยละ 16.4 นับถือพุทธศาสนานิกายมหายานที่มีศาลเจ้าเป็นศูนย์กลาง
ร้อยละ 8.2 นับถือศาสนาคริสต์
ที่เหลือก็จะเป็นศาสนาอิสลามในกลุ่มแขกจาม หรือจัมปา และศาสนาฮินดู
โฟโต้ออนทัวร์
30 กันยายน 2558
|
World's biggest cave discovered in Vietnam!! Hang Son Doong Cave
|
|
|
เซินดอง ถ้ำมหัศจรรย์ ใน อช.ถ้ำฟองญา(มรดกโลก) เมืองกวางตรี ประเทศเวียดนาม
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ถ้ำนี้มีชื่อว่าถ้ำซุนดุงSon Doong (เวียดนามเรียก เซินด่อง) มีฉายาว่า Mountain River cave หรือถ้ำภูผาแม่น้ำ
ข้อมูล Son Doong Cave ที่พอจะรวบรวมได้ในขณะนี้
1 เป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
2 อยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติฟองยา เกบ่าง (Phong Nha-Ke Bang National Park)
3 ค้นพบเมื่อปีค.ศ.1991(พ.ศ.2534) โดยชาวเวียดนามท้องถิ่น ชื่อ Ho-Khanh (ความจริงถ้ำแห่งนี้เป็นที่รู้จักนานแล้วแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปเนื่องมีเสียงประหลาดดังออกมาจากถ้ำ ซึ่งความจริงก็คือเสียงน้ำไหลชั้นใต้ดิน)
4 การสำรวจถ้ำครั้งแรกคือคณะสำรวจจากอังกฤษ ในนามของ British Cave Research Association หรือ BCRA ได้เข้าไปสำรวจเมื่อปี ค.ศ.2009
5 การสำรวจครั้งนี้สร้างความตื่นตาให้กับคณะสำรวจ เนื่องจากพบว่าห้องโถงในถ้ำที่ใหญ่สุดมีความสูงถึง 150 เมตร ยาว 200 เมตร สูงพอๆกับตึก 41 ชั้น
6 ระยะทางยาวของถ้ำ Son Doong 5 กิโลเมตร
7 หินงอกก้อนใหญ่ที่สุดมีความสูง 70 เมตร
8 ทัวร์คณะแรกที่เดินทางไปเที่ยว ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนหกคนจากออสเตรเลีย, นอร์เวย์, รัสเซีย, สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ใช้เวลา 7 วัน 6 คืนสำหรับการท่องเที่ยว
9 ค่าทัวร์คนละ US$ 3,000 หรือประมาณ 100,000 บาท และเป็นทัวร์ประเภท Adventure เดินทาง 7 วัน 6 คืน(นอนถ้ำ)
สนใจติดต่อ http://www.oxalis.com.vn/son-doong-cave |
|
|
|
|
ชมภาพการเดินทางสู่เวียดนามกลาง
ครั้งที่ 1 เมย.50 (ออกทางด่านจังหวัดมุกดาหาร)
ครั้งที่ 2 ตค.51 (ออกทางด่านจังหวัดมุกดาหาร)
ครั้งที่ 3 (ครั้งนี้) ตค.55 (ออกทางด่านจังหวัดนครพนม)
|
|