แผนที่ประเทศพม่า : แผนที่เมืองย่างกุ้ง : ตำแหน่งที่ตั้งเมืองเนปิดอร์ เมืองหลวงใหม่ของพม่า
Myanmar Part 8 : Kyaiktiyo Pagoda (Golden Rock)
เที่ยวพม่าตอนที่ 8 : พระธาตุอินทร์แขวน 1 ใน 5 สิ่งศัดิ์สิทธ์ของพม่า
(เดินทาง มกราคม.2555)
เที่ยวพม่าในตอนที่ 8 ก็ยังเป็นภาพพระธาตุอินทร์แขวนต่อจากตอนที่แล้วซึ่งเป็นบรรยากาศตอนกลางคืน ส่วนภาพชุดนี้จะเป็นภาคเช้าที่ต้องตื่นกันแต่เช้าหน่อย ซึ่งเมื่อคืนมีการนัดแนะกันไว้ว่า จะมาเจอกันที่หน้าโรงแรมเพื่อไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนกันตอนตี 4 แต่เอาเข้าจริงๆกลับไม่เห็นมีใครสักคน งานนี้จึงต้องฉายเดี่ยว
สำหรับเมื่อคืนนี้ซึ่งเป็นคืนที่ 2 ที่อยู่ในพม่าไม่แน่ใจว่าอาหารพม่าจะสำแดงฤทธิ์หรือไม่ เพราะจู่ๆราวตี 2 ได้ลุกมาเข้าห้องน้ำ แม้จะทานยาธาตุหรือยาขับลมไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็ทำท่าว่าจะเอาไม่อยู่ ท้องไส้มันมีอาการปั่นป่วนชวนให้น่าวิตกว่าจะเกิดพายุตามมา
เมื่อคืนหลังเข้าห้องน้ำในรอบแรกเสร็จสิ้น
รู้สึกว่าตัวเบาและหมดกังวลไปได้เปราะหนึ่ง อย่างน้อยก็คิดว่าได้ผ่อนหนักให้เป็นเบาไปได้บ้าง
แต่พอราวตี 3 ก็ต้องลุกขึ้นมาอย่างงัวเงีย คราวนี้นั่งนานหน่อยกะว่าจะรีด(พิษ)ให้หมด แต่พอผ่านไปราว 15 นาทีปรากฏว่าไฟดับพรึบ มันมืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลย ตอนนั้นก็ไม่ได้พกไฟฉาย เพราะไม่คิดว่าจะมาดับในขณะเข้าห้องน้ำ ไฟฉายนะเอามาแต่มันอยู่ในกระเป๋า
ไฟดับค่อนข้างนานจนรอไม่ไหว จึงต้องทำทุกอย่างในท่ามกลางความมืดสนิท แต่ก็ไม่ปัญหาอะไร อาศัยสัมผัสที่ 6 เข้ามาช่วย ค่อยๆคลำทางจนกระทั่งล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อย
เสร็จธุระแล้วก็แต่งเนื้อแต่งตัวพร้อมยกกระเป๋าออกมาที่ล็อบบี้โรงแรมตอนตีสามกว่าๆ
แต่เมื่อมองเข้าไปในห้องกระจกไม่เห็นใครสักคน จึงผลักประตูเข้าไป ที่ไหนได้เห็นพนักงานโรงแรม ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นยาม นุ่งโสร่งนอนคุดคู้อยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง เห็นแล้วก็ไม่อยากรบกวนจึงค่อยๆย่องเอากระเป๋าไปวางไว้ด้านในเคาน์เตอร์เพื่อไม่ให้ดูล่อตาล่อใจ
รอนานทีเดียวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีใครออกมาตามที่ได้นัดหมาย สงสัยจะตื่นยากสักหน่อยเพราะอากาศกำลังสบาย ราว 15 องศาเห็นจะได้ ขณะนั้นภายในโรงแรมดูเงียบเชียบ ท้องฟ้ายังมืดมิด แต่ถนนหน้าโรงแรมเห็นผู้คนเดินไปเดินมาแบบไม่ขาดสาย
เวลานั้นเกือบจะตี 4 แล้ว จึงออกไปเดินเล่นที่ลานหน้าโรงแรม เหลือบไปเห็นซุ้มเล็กๆ มีไฟเปิดสว่าง ในซุ้มมีก้อนหินสำหรับฝนไม้ทานาคาสำหรับทาหน้า สงสัยซุ้มนี้น่าจะมีไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ทดลอง
ไหนๆมาเที่ยวพม่าแล้วก็น่าจะลอง ดูแล้วไม่น่ายากเพราะเคยเห็นจากรายการสารคดีทางโทรทัศน์
วิธีทำก็แค่เอาน้ำมาหยอดลงบนแผ่นหินแล้วเอาไม้ทานาคาด้านที่เป็นเปลือกมาฝน จากนั้นแป้งที่อยู่ในเปลือกไม้ก็จะค่อยๆออกมาเป็นสีขาวปนเหลือง อยากให้แป้งออกมามากก็ฝนนานๆจนรู้สึกว่าเข้มข้นพอใช้การได้ จึงเอามามาทาหน้า จะป้ายจะทาแบบไหนก็แล้วแต่เรา
ตอนนั้นละเลงหน้าซะมันส์เลย กะแปลงร่างให้เป็นชาวพม่า จะได้ไม่มีปัญหาให้คนพม่าเข้าใจว่าเราเป็นคนต่างถิ่น เพราะหน้าตาก็ออกดำๆคล้ายคนพม่าอยู่แล้ว แต่ยังขาดอยู่อีกสองอย่าง คือไม่ได้นุ่งโสร่งและไม่ได้เคี้ยวหมาก
ปรากฏว่าได้ผลแฮะ หลังจากเดินไปที่วัดก็ไม่เห็นมีใครมองเราแบบผิดสังเกต จะดูต่างกับคนพม่าก็ตรงที่เห็นกล้องถ่ายรูปนี่แหละ เพราะคนพม่าหรือนักท่องเที่ยวพม่าเท่าที่สังเกตมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว จะไม่เห็นใครถ่ายภาพ จะมีก็แต่นักท่องเที่ยว(คนไทย)เท่านั้น ส่วนมือถือที่หยิบมาถ่ายรูปก็เห็นเพียงแค่ประปราย
พม่าในเวลานี้ (21 มค. 55) จึงต้องรอเวลาที่จะพัฒนาอีกมาก กว่าจะได้มายืนเคียงบ่าเคียงไหล่เหมือนกับประเทศอื่นๆ แต่นักท่องเที่ยวหลายคนกลับชอบและอยากให้พม่ารักษาความเป็นชนบทดั่งเดิมแบบนี้ เพราะมันเป็นเสน่ห์ที่ดูแล้วก็สบายตา หากจะเปรียบเทียบกับบ้านเราก็เหมือนกับย้อนอดีตไปสักราว 60-70 ปี หรือยุคสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามได้ละมั้ง
แต่เวลานี้ (12 สค.56) พม่าจะโตแบบเชื่องช้าอีกไม่ได้แล้ว ในเมื่อประกาศเปิดประเทศพร้อมกับเชิญชวนให้นักลงทุนและนักท่องเที่ยว เข้ามาทำธุรกิจในพม่า ถนนทุกสายจึงมุ่งสู่พม่าชนิดที่คนพม่าเองก็ปรับตัวรับกับสถานการณ์ไม่ทัน เช่นนักท่องเที่ยวเวลานี้แทบจะหาที่พักบนพระธาตุอินทร์แขวนไม่ได้เลย จึงเกิดรีสอร์ทหรือที่พักบริเวณเชิงเขาขึ้นเพื่อรองรับ ทำให้พลาดโอกาสอันงามที่จะเห็นแสงแรกของพระอาทิตย์ส่องกระทบก้อนหินสีทองหรือหินศักดิ์สิทธิ์ในยามเช้า
ส่วนที่พักตามเมืองใหญ่ๆเช่นเมืองย่างกุ้งปรากฏว่ามีการปรับราคากันชนิดใครได้ยินแล้วตกใจ ประมาณว่าขึ้นไปเกือบเท่าตัว ถามคนทำธุรกิจท่องเที่ยวบอกว่าพวกฝรั่งมังค่าทั้งนั้นที่แห่มาพัก เงินบาทที่พม่าไม่เคยรังเกียจแต่ปัจจุบันไปเอาใจดอลล่าร์มากกว่า นักท่องเที่ยวไทยจึงกลายเป็นลูกเมียน้อยสำหรับคนทำธุรกิจโรงแรมในพม่า
คนต่างชาติมาเที่ยวพม่ากันมากเป็นพิเศษ น่าจะเป็นผลมาจากการที่ นางอองซาน ซูจี ไปทำโรดโชว์หรือไปประชาสัมพันธ์ตามคำเชิญของชาติยุโรปเมื่อราว 1 ปีที่ผ่านมา มาวันนี้จึงมีนักท่องเที่ยวยุโรปเข้ามาเที่ยวพม่ากันมาก ส่วนนักท่องเที่ยวไทยคงไม่ได้ไปเที่ยวกันตามกระแส เนื่องจากมีประเทศอื่นๆอีกมากมายที่น่าสนใจ
การท่องเที่ยวพระธาตุอินทร์แขวน
ก่อนจะพูดถึงเรื่องอื่นๆต่อไป ก็อยากจะเล่าเพื่อเป็นข้อมูลให้กับคนที่จะมาเที่ยวพม่า ว่าพระธาตุอินทร์แขวนเป็นวัดหรือเป็นศาสนสถานที่ตั้งอยู่บนเขาในชนบทของพม่า หากคิดเป็นระยะทางแบบบ้านเราแล้วอาจเห็นว่าไม่ไกลนัก แต่เพราะพม่ายังไม่ค่อยเจริญนัก รถอาจวิ่งช้าเนื่องจากสภาพถนนกำลังซ่อมแซมตลอดเส้นทาง จึงดูเหมือนว่าอยู่ห่างไกลและสภาพทั่วไปก็ดูเป็นชนบทเอามากๆ
แค่นั้นยังไม่พอ เมื่อมาถึงเชิงเขาแล้วก็ต้องนั่งรถประจำทางแบบเปิดประทุน(รอบด้าน)จนมาถึงท่ารถปลายทางที่อยู่บนเขา จากนั้นก็ยังต้องนั่งเสลี่ยงขึ้นมาจนถึงบนยอดเขา คิดแล้วก็หลายต่อหลายทอด
แต่สำหรับชาวพม่าที่เดินทางมานมัสการพระธาตุอินทร์แขวน จะมีการเดินทาง 2 แบบให้เลือก คือนั่งรถประจำทางหรือรถบรรทุก 6 ล้อ เพื่อขึ้นขึ้นสู่ยอดเขา ซึ่งปกติแล้วท่ารถบนยอดเขามีแต่ชาวพม่าเท่านั้น ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังลงจากรถบรรทุก 6 ล้อแล้วก็ต้องนั่งเสลี่ยงต่อ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ชาวบ้านที่หามเสลี่ยงได้มีงานทำ เพราะหากนั่งรถรวดเดียวจนถึงยอดเขาแล้ว ชาวบ้านก็จะขาดรายได้จากนักท่องเที่ยว
สำหรับชาวพม่าเมื่อรถพามาถึงปลายทางจนเกือบจะถึงพระธาตุอินทร์แขวนแล้วก็ต้องเดินเท้าต่ออีกราว 1 กม.แต่ก็เป็นการเดินขึ้นเขาที่ต้องออกแรงพอสมควร แต่สำหรับคนพม่าแล้วคงไม่มีปัญหาเพราะเห็นเดินกันขึ้นมาแบบปกติ โดยไม่มีทีท่าอิดโรย
ส่วนคนไทยคิดว่าคงไม่ง่าย แต่ถ้าใครได้เดินแล้วก็น่าจะเป็นเครื่องวัดสุขภาพและทดสอบวัยไปในตัว ว่าขณะนี้หนุ่มหรือแก่ หากเดินไม่ค่อยไหวก็แสดงว่าสังขารเริ่มมีปัญหาแล้ว
ถ้าจะเปรียบเทียบสัดส่วนของชาวพม่าที่นั่งรถรวดเดียวจนเกือบถึงยอดเขากับการเดินเท้าขึ้นเขาว่าต่างกันแค่ไหน หากคะเนด้วยสายตาที่เห็นในวันนั้นก็น่าจะราว 80 : 20 คือนั่งรถจนถึงบนเขาประมาณร้อยละ 80 อีก 20 ใช้วิธีเดินขึ้นเท้าโดยใช้ไม้ค่ำยัน
ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ถือว่าโหด แต่ถือว่าได้บุญมากโขสำหรับบางคน ก็คือจะไม่พึ่งพารถประจำทาง แต่ใช้วิธีเดินเท้าจากตีนดอยยันยอดดอยทั้งขาไปและขากลับ เห็นพวกวัยรุ่นหรือพวกวัยหนุ่มที่อยากประลองกำลังบางคนเลือกวิธีนี้ ที่โหดไปกว่านั้นก็คือว่าระหว่างทางมีแต่ป่า ไม่มีบ้านคน ไม่มีร้านอาหาร และไม่มีน้ำขาย เรียกว่าต้องอึดกันจริงๆ
หากนึกไม่ออกว่าวิธีนี้จะเป็นอย่างไรก็ต้องบอกว่าพอๆกับการเดินเท้าจากตีนดอยอินทนนท์ไปจนถึงบนเขาที่สถานีเรดาร์นั่นแหละ
สำหรับพระธาตุอินทร์แขวนนี้มีคนไทยไม่น้อยที่เคยมานมัสการมากกว่า 1 ครั้ง บางคนอาจถึง 6-7 ครั้ง ดูแล้วคงไม่ต่างกับความศรัทธาของชาวพุทธในบ้านเราที่เคยไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในประเทศอินเดีย
ความศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพม่าคงไม่ต่างกับคนไทยที่นิยมไปนมัสการสังเวชนียสถานในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนาและปรินิพาน ของพระพุทธเจ้า คนที่ศรัทธามากก็อาจเดินทางไปหลายครั้ง ไปแล้วก็อาจเกิดความรู้สึกที่สังเวช ว่าขนาดพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นบุคคลที่ประเสริฐก็ยังใช้ชีวิตแบบติดติด ไม่ได้ใช้ชีวิตที่หรูหราอะไรเลย
สำหรับประเทศพม่านั้น มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 5 แห่ง ที่ถือว่าชาวพม่าควรไปกราบไหว้ ซึ่งก็เป็นความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ
5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพม่าได้แก่
1 พระมหาเจดีย์ชเวดากอง เมืองย้างกุ้ง
2 พระธาตุอินทร์แขวน เมืองไจท์โถ อ.สะเทิม เขตรัฐมอญ
3 เจดีย์ชเวสิกอง เมืองพุกาม
4 เจดีย์ชเวมอดอร์ หรือ พระธาตุมุเตา เมืองหงสาวดี
5 พระมหามัยมุนี เมืองมัณฑะเลย์
จะเห็นว่าทั้ง 5 แห่งนี้ อยู่กันคนละภาคหรือคนละโซนของพม่า แต่ในทริปนี้ได้มีโอกาสนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่าถึง 3 แห่ง ได้แก่ พระธาตุมุเตา หรือพระธาตุชเวมอดอร์ ที่เสนอไปแล้วในตอนที่ 4 ซึ่งเป็นสถาน ที่พระมหากษัตริย์ของพม่าในอดีตจะต้องมาทำพิธีบวงสรวงสักการะก่อนที่จะยกทัพเพื่อออกรบ และพระธาตุแห่งนี้ พระองค์ดำหรือสมเด็จพระนเรศวรเคยมาสักการะในช่วงเวลาที่ตกเป็นตัวประกันแก่พม่า
สำหรับพระธาตุอินทร์แขวนได้นำเสนอไปตอนที่ 7(ตอนที่แล้ว) และตอนที่ 8 นี้ก็ยังมีภาพต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นว่าพลังศรัทธาของชาวพม่านั้นมากมายเหลือล้นจริงๆ แต่ก็คงไม่ต่างกับเมืองไทยในอดีต
เมืองไทยในปัจจุบันมีความเจริญขึ้นกว่าแต่ก่อน ความรู้สึกศรัทธาต่อพุทธศาสนาก็เปลี่ยนไป วัดต่างๆมักจะมีกิจกรรมที่เป็นรูปแบบของการค้าหรือที่เรียกว่าพุทธพาณิชย์ บางวัดก็พยายามสร้างจุดขายหรือมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆขึ้นมาเพื่อดึงดูดผู้คนให้เข้าวัด
เมื่อเข้ามาในวัดแล้วก็ต้องเดินซ้อปปิ้งซื้อสินค้าเกี่ยวกับบุญที่มีให้เลือกซื้อมากมายหลายชนิด แล้วแต่กำลังทรัพย์และความศรัทธาของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่องขนาดต่างๆ รวมไปถึงเครื่องบูชาแปลกๆ ใหม่ๆอีกมากมาย
ทั้งหมดนี้ก็อ้างเพื่อการทำบุญบ้าง เพื่อความเป็นสิริมงคลบ้าง หรือเสริมความร่ำรวย
หรือหากวัดไหนคิดจะทำเป็นรูปแบบห้างสรรพสินค้าหรือซูเปอร์มาเก็ตก็ไม่เลว เช่นมีรถเข็นให้เดินเลือกสินค้าบุญตามชั้นต่างๆ เวลาชำระเงินก็ใช้วิธียิงบาร์โค๊ด ถ้าไม่มีเงินสดก็ใช้บัตรเครดิต(หรือรูดบัตร) ซื้อมากก็อาจได้บัตรส่วนลดนำไปซื้อสินค้า(บุญ)จากด้านหน้าได้ในราคาพิเศษ หรืออาจให้กรอกชื่อที่อยู่เพื่อชิงโชครางวัลใหญ่ ได้พระประธานขนาดใหญ่ไปบูชา
วิธีนี้ใช้ได้ตามวัดทั่วๆไปโดยไม่ผิดวินัยสงฆ์ เพราะขนาดสมีคำหรือเณรคำ ทำเรื่องบ้าๆบอๆอยู่ตั้งนานก็ไม่เห็นวงการสงฆ์มาห้ามปราม ที่ไม่ห้ามก็อาจเป็นเพราะพระผู้ใหญ่เหล่านั้นได้รับผลประโยชน์ ได้รถเก๋งบ้าง รถตูบ้าง ปิคอัพบ้าง จนสมองส่วนที่ฉลาดและมีสติสัมปชัญญะนั้นมันไม่ทำงาน หรืออาจตายด้าน
ไหนๆก็ไหนๆ จึงอยากเสนอความเห็นว่าต่อไปในอนาคตน่ามีกฎของสงฆ์ว่า สินค้าบุญทุกชนิดจะต้องผ่าน อย. และผ่าน มอก. จะได้ไม่มีโทษและไม่มีสารพิษที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย
อาจมีคนสงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกับ อย.ที่เป็นหน่วยงานควบคุมมาตรฐานสินค้า
ก็น้ำมนต์ไงละครับท่าน น้ำมนต์บรรจุขวดที่เห็นขายหรือแจกตามวัดต่างๆ เช่นที่วัดหลวงพ่อโสธรในจังหวัดฉะเชิงเทรา เห็นหอบหิ้วกันมาดึ่มกินกันคนละเป็นโหลๆ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ถ้ามีก็ควรกำหนดวันหมดอายุด้วย
ไม่บ้า และไม่เพี้ยนครับ
เพราะวงการสงฆ์ในบ้านเราเวลานี้ก็ดูจะเพี้ยนๆ และอาการหนักกว่าที่กล่าวมาเยอะ
เช่นแต่ละวัดนึกจะทำอะไรก็ได้ตามใจฉัน(อาตมา) จะปลุกเสก หรือจะปลุกปล้ำ เอ้ย..จะปั้นพระ อะไรก็ได้ทั้งนั้น
ใครเข้าวัดตอนนี้ก็อย่าได้แปลกใจ ทั้งพระพุทธรูป ทั้งเจ้าพ่อกวนอู เจ้าแม่กวนอิม หรือเจ้าลูกกวนโอ้ย รวมไปถึงพระพรหม พระวิศณุ พระพิฆเนศ เยอะแยะตาแป๊ะไปหมด เข้าไปแล้วเวียนหัวว่าจะไหว้องค์ไหนดี
นี่ต่อไปหากบางวัดจะบูชาไม้กางเขนก็คงไม่น่าแปลก เพราะตอนนี้พุทธกับพราห์มได้มาอยู่รวมกันในวัดไทยจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ต่อก็อาจบูชาไม้กางเขนอีกสักองค์ก็คงไม่เป็นไร มั้ง...
วงการศาสนาของไทยที่ผ่านๆมาเห็นทำกันมาเยอะกับเรื่องบ้าๆบ้องๆ เช่นเมื่อ 4-5 ปีก่อน สมัยนั้นจตุคามรามเทพกำลัง Intrend (มาแรง) เห็นออกข่าวโฆษณาว่ามีพระสงฆ์นั่งเครื่องบินเพื่อไปกดพิมพ์องค์จตุคามจนถึงบนฟ้าบนอากาศ ทั้งนี้ก็เพื่อความศักดิ์สิทธ์ ระดับเทพอะไรประมาณนั้น
งานนี้ผู้บัญชาการทหารอากาศลงมาเล่นเสียเอง ไม่ขลังให้มันรู้ไปสิ ส่วนราคาจะแพงแค่ไหนก็มีคนซื้อจนหมด องค์ละเป็นพันเป็นหมื่นก็ขายเกลี้ยง
แต่ตอนนี้เหลือ 80 บาทคิดว่าคงไม่มีใครเอา
สรุปว่าเมืองไทยน่าอยู่ น่าขัน และเป็นเมืองพุทธที่ไร้กฎไร้เกณฑ์ พระสงฆ์ชั้นปกครองก็แก่หง๋ำเหงือก ไม่มีเรียวมีแรงที่จะไปห้ามปรามใคร แค่เดินนานๆก็อาจเป็นลมเป็นแล้ง
แต่ที่น่าแปลกก็ตรงที่ชาติต่างๆยกให้ไทยเป็น “ศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก”
ตรงนี้สิน่าแปลก
โฟโต้ออนทัวร์
12 สิงหาคม 2556
แผนที่ประเทศพม่า แผนที่เมืองย่างกุ้ง - สิเรียม และแผนที่เมืองเนปิดอร์
|