เวียดนามกลาง ตอนที่ 7 ตลาดปลาเวียดนาม อุโมงค์วินห์ม็อก
Fish market Vietnam , vinh moc tunnels
(เดินทาง ตุลาคม 2551)
เช้านี้ท้องฟ้าไม่ค่อยแจ่มใสหนัก ออกมาเดินเล่นและถ่ายภาพหน้าโรงแรม“ ไซ่ง่อนกวางบินห์ “ เมืองดองฮอย ก็เห็นท้องฟ้าเริ่มครึ้มฝน และทำท่าจะตกอีกในไม่ช้า
ปรากฏว่าทายแม่น ไม่เกินครึ่งชั่วโมงฝนก็เทลงมา ชนิดที่เป็นเรื่องปกติสำหรับประเทศเวียดนาม
ใครมาเที่ยวประเทศเวียดนามก็เชื่อว่า มากี่ครั้งก็อาจเจอฝนเกือบทุกครั้ง ทำให้นึกถึงการแสดงหุ่นกระบอกน้ำที่เมืองฮานอย ซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้านของเวียดนาม และมีแห่งเดียวในโลกที่ใช้น้ำเป็นเวทีการแสดงหุ่นกระบอก
เหตุผลที่จัดแสดงกับน้ำก็เนื่องจากว่าเวียดนามเป็นประเทศที่มีฝนตกชุก การแสดงวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับน้ำจึงเป็นการประยุกต์ให้เข้ากับสภาพภูมิประเทศที่ต้องเผชิญอยู่กับฝน
โรงแรมไซ่ง่อนกวางบินห์
บริเวณหน้าโรงแรมที่เราพักเป็นสวนหย่อมเล็กๆอยู่ติดกับแม่น้ำ เช้านี้มีชาวเวียดนามมาออกกำลังกายยึดเส้นยึดสายกันหลายคน ไม่ต่างกับชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่ตอนเช้าและตอนเย็นๆจะนิยมมาออกกำลังกายด้วยการเต้นรำกัน
ระหว่างที่ชมวิวทิวทัศน์ริมแม่น้ำหน้าโรงแรม สังเกตเห็นผู้คนขี่จักรยานผ่านไปมาเกือบตลอดเวลา สอบถามผู้ร่วมเดินทางที่ตื่นแต่เช้าได้ความว่า พวกเค้าขี่จักรยานไปจ่ายตลาดที่อยู่ห่างจากโรงแรมราว 300 เมตร แถมยังยุให้เราไปดูตลาดสด บอกว่ามีของแห้งขายเช่นปลาแห้ง ปลาหมึก กุ้งแห้ง มากมาย ราคาก็ถูกกว่าบ้านเรา
หลังทานอาหารเช้าจึงรีบไปตลาดสด กะว่ามีโอกาสถ่ายภาพตลาดชนบทของเวียดนามที่มักมีสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย
แต่พอไปถึงกลับไม่ได้เข้าไปในตลาดสด เนื่องจากเห็นว่าด้านข้างตลาดเป็นท่าเรือ มีเรือประมงจอดเรียงรายอยู่หลายลำ มีแม่ค้าแม่ขายมารับซื้อปลาจากเรือประมงที่ทยอยเข้าเข้าเทียบท่ากันอย่างคึกคัก จึงเปลี่ยนใจมาถ่ายภาพที่นี่แทน
เรือประมงที่เห็นจอดเรียงรายริมแม่น้ำ ดูสภาพแล้วเข้าใจว่าบริเวณนี้น่าจะปากอ่าวที่ออกสู่ทะเล มีเรือประมงผ่านไปมาตลอดเวลา
ขณะที่เรือบางลำกำลังจะเทียบชายหาด ก็เห็นแม่ค้ามายืนออกันเพื่อรับซื้อปลา บางคนตะโกนโหวกเหวกจนเสียงดังเซ็งแซ่ไม่ต่างกับแม่ค้าปากคลองในบ้านเรา
ท่าเรือที่นี่ดูแล้วเป็นแบบพื้นๆ ไม่มีสะพานทางเดินที่ยื่นไปในทะเลเพื่อให้เรือมาเทียบ ทั้งๆที่เป็นตลาดใหญ่
เรือที่มาถึงก็จะมีคนงานนำเชือกไปผูกกับหลัก จากนั้นคนงานก็จะยกกระบะปลาลงจากลำเรือมาวางไว้ที่ลานซีเมนต์
ถึงตรงนี้บรรดาแม่ค้าก็จะมะรุมมะตุ้ม เหมือนจะแย่งกันซื้อ ใครซื้อไม่ทันหรืออาจยังไม่พอใจนัก ก็จะรอเรือลำอื่นๆที่กำลังทยอยเข้ามาอยู่เรื่อยๆ
ประเทศเวียดนามมีชายฝั่งทะเลยาวต่อเนื่องกันจากเหนือจดใต้ราว 1400 ไมล์หรือ 2,366 กิโลเมตร ทำให้เวียดนามเป็นประเทศที่มีทรัพยากรทางทะเลอย่างอุดมสมบูรณ์ และใหญ่โตกว่าบ้านเรามาก คล้ายกับว่าเวียดนามมีท่าเรือประมงจากภาคเหนือยันภาคใต้
สัตว์น้ำจากทะเลเวียดนามจึงมีหลากหลายสายพันธ์และมีราคาถูกกว่าบ้านเรามาก คนเวียดนามก็คล้ายๆกับคนจีนที่ชอบทานปลาสดๆโดยไม่ผ่านการแช่แเข็ง คนไทยที่มาเที่ยวเวียดนามก็จะมีโอกาสทานปลาแปลกๆ ชนิดที่ไม่เคยพบเห็นในบ้านเรา
เรือประมงที่เห็นนี้ดูแล้วน่าจะเป็นเรือประมงน้ำตื้น คล้ายกับเรือประมงขนาดเล็กในบ้านเราที่ส่วนใหญ่จะออกหาปลาตอนเย็นๆหรือตอนกลางคืน พอรุ่งเช้าก็จะกลับเข้าฝั่ง ปลาที่ได้จึงใหม่สดทุกวัน
เสร็จจากถ่ายภาพตลาดปลาก็ต้องรีบกลับโรงแรมเนื่องจากได้เวลารถออกเพื่อเดินทางไปยังชมอุโมงค์วินห์ม๊อก เขตเมืองกวางตรี อันเป็นรายการสุดท้ายของการท่องเที่ยวในเวียดนามครั้งนี้
เมืองกวางบินห์ที่เรายืนอยู่นี้ และเมืองกวางตรี ที่เรากำลังจะเดินทางไปอีกไม่ช้า ในสมัยสงครามเวียดนาม ทั้งสองเมืองหรือสองจังหวัดนี้ถือว่าเป็นดินแดนการต่อสู้กันอย่างเข้มข้นของฝ่ายพันธมิตร(สหรัฐอเมริกา)และฝ่ายคอมมิวนิสต์(เวียดนามเหนือ) ชนิดที่มีผู้เสียชีวิตนับเป็นแสนๆคน
จึงไม่แปลกที่ทั้งสองเมืองนี้จะเต็มไปด้วยหลุมฝังศพของบรรดาทหารเวียดนามที่เสียชีวิตจากการสู้รบ
การสู้รบในสงครามเวียดนามเมื่อราว 50 ปีก่อน ไม่ต่างกับการต่อสู้ของคนในประเทศเดียวกันที่มีความแตกต่างกันในลัทธิการปกครอง
ประเทศเวียดนามใต้ ที่เป็นฝ่ายพันธมิตร หรือฝ่ายเดียวกันกับชาติมหาอำนาจอเมริกา จะอยู่ทางตอนใต้ของเวียดนาม มี "ไซ่ง่อน" เป็นเมืองหลวง(ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โฮจิมินห์ซิตี้) โดยมีเส้นแบ่งดินแดนที่ แม่น้ำเบ็นไห่ Ben Hai ที่ไม่ไกลจากที่นี่นัก
ส่วน "ประเทศเวียดนามเหนือหรือเวียดนามคอมมิวนิสต์" จะอยู่ทางตอนเหนือ มีเมือง ฮานอย เป็นเมืองหลวง ได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศจีน
สงครามเวียดนามเริ่มก่อตัวเมื่อปี พ.ศ.2498 และจบลงเมื่อปี พ.ศ.2518 หรือจบสิ้นหลังจากสหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากเวียดนาม
และหลังจากนั้นกองทัพเวียดนามเหนือก็ยาตราทัพเข้าบุกเวียดนามใต้ ชาวเวียดนามเรียกกองทัพนี้ว่าเป็นกองทัพปลดแอก(จากอเมริกา) จากนั้นเวียดนามได้รวมเป็นประเทศเดียว(เหมือนเดิม)โดยมีรัฐบาลที่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์ปกครองมาจนถึงปัจจุบัน และในช่วงที่ประเทศเวียดนามกำลังชุลมุนนี้ ชาวเวียดนามที่มีฐานะดี คนมีความรู้ พ่อค้านักธุรกิจ จำนวนไม่น้อยได้อพยพไปอยู่ต่างประเทศ เนื่องจากเกรงว่ารัฐบาลคอมมิวนิสต์จะเข้ามายึดทรัพย์สินทั้งหมด และเกณฑ์ให้ทุกคนต้องไปทำนา
เรื่องสงครามเวียดนาม มีเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันเล็กน้อย เนื่องจากคณะทัวร์ที่เดินทางไปชมพิพิธภัณฑ์ทางทหารที่มีหลายเมืองในเวียดนาม อาจเข้าใจผิดในบางประเด็น เช่นไกด์ประจำพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่งที่อธิบาย(ผ่านล่าม)มักจะพูดว่า “กองทัพอเมริกาแพ้กองทัพของเวียดนาม” ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด(โดยเจตนา)
ความจริงก็คือว่ารัฐสภาของสหรัฐอเมริกาสมัยนั้นตัดงบประมาณทางทหารเพื่อใช้ในสงครามเวียดนาม ทำให้รัฐบาล(นิกสัน)ขาดงบประมาณ ขณะเดียวกันคนอเมริกาและทั่วโลกก็ออกมาต่อต้านสงคราม พ่อแม่เยาวชนก็ไม่ต้องการให้ลูกหลานที่เข้ารับการเกณฑ์ทหารต้องมาเสียชีวิตในสงคราม จึงเกิดการต่อต้านขนานใหญ่และรุกลามไปหลายประเทศ
การที่ไกด์เวียดนามพยายามพูดกรอกหูนักท่องเที่ยวอย่างภาคภูมิใจว่า ฝ่ายตนเองชนะอเมริกา จึงไม่ใช่แต่ความจริงแต่อย่างใด
ความจริงก็อยากจะย้อนคำพูดของไกด์หรือเจ้าหน้าที่เวียดนามที่ประจำตามพิพิธภัณฑ์ว่า
“อเมริกามีชัยในสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยเชียวนะ และเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับ 1 มาจนถึงปัจจุบัน มีหรือที่มหาอำนาจสหรัฐอเมริกาจะพ่ายแพ้ประเทศเล็กๆอย่างเวียดนาม ความจริงน่าจะเรียกว่า อเมริกาทิ้งเวียดนาม(ใต้)ให้เผชิญชะตากรรมกันเองมากกว่า และความจริงอีกอย่างก็คือว่า เวียดนามตอนล่างสนับสนุนอเมริกา และกลัวลัทธิคอมมิวนิสต์ กลัวการถูกยึดทรัพย์ โดยเฉพาะชาวจีนที่ทำมาค้าขาย "
ส่วนกองทัพปลดแอกเวียดนาม จะมีชัยเหนือกองทัพฝรั่งเศสในสงครามเดียนเบียนฟู สมัยโฮจิมินห์ อันนี้ไม่มีใครเถียง เพราะเป็นเรื่องจริง และสงครามคราวนั้นแม่ทัพฝรั่งเศสที่ฐานเดียนเบียนฟูถึงกับอดสู จนต้องฆ่าตัวตาย
อุโมงค์วินห์ม็อก เมืองกวางตรี
"กวางบินห์ Quang Binh " เป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศเวียดนามใต้ ส่วน "กวางตรี Quang Tri " เป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของเวียดนามเหนือ ทั้งสองเมืองจึงไม่ต่างกับเป็นเมืองหน้าด่านที่ต้องรับศึกหนักจากสงครามเวียดนาม
เมืองกวางตรีสมัยนั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ถูกสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดถล่มจนนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะที่ หมู่บ้านวินห์ม๊อก ซึ่งเป็นแหล่งซ่องสุมกองกำลังของเวียดนามเหนือ(คอมมิวนิสต์) เพื่อบุกโจมตีเวียดนามใต้(ที่เมืองกวางบินห์)
อุโมงค์วินห์ม๊อกที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวในปัจจุบัน คือหลักฐานการดิ้นรนเอาตัวรอดของชาวบ้านและอาสาสมัคร ที่เป็นกองหนุนให้กับเวียดนามเหนือ ชนิดที่เหนือมนุษย์และเหนือความคาดหมาย แม้แต่กองทัพสหรัฐอเมริกาก็ไม่สามารถล่วงรู้ความลับนี้ได้เลย
อุโมงค์วินห์ม๊อกในสมัยนั้นหรือราว ค.ศ.1966 มีชาวเวียดนามจำนวน 66 ครอบครัวอาศัยอยู่ในถ้ำเพื่อหลบภัยมาเป็นเวลานานนับปี โดยใช้ระยะเวลาราว 20 เดือนในการขุดอุโมงค์ดินเพื่อหลบภัยและเพื่อปฏิบัติภารกิจทางทหาร
อุโมงค์แบ่งเป็นระดับชั้นๆ ลึก 12 15 และ 23 เมตร ภายในอุโมงค์มีห้องพัก คอกเลี้ยงสัตว์ บ่อน้ำ ห้องพยาบาล ห้องสุขา ห้องซักล้าง ห้องครัว ห้องประชุม และเป็นที่เก็บสะสมอาวุธ
การขุดอุโมงค์จะทำในเวลากลางวัน ส่วนกลางคืนจะช่วยกันลำเลียงดินออกไปทิ้งทะเลที่อยู่ติดกัน ทำให้ไม่เห็นซากดินจึงรอดพ้นจากการตรวจตราของสหรัฐไปได้
อุโมงค์วินห์ม๊อก ความจริงก็คือเป็นสถานที่ปฏิบัติงานทางทหารของกองทัพเวียดกง (หรือเวียดนามเหนือ) ไม่ได้เป็นหมู่บ้านอาศัยของชาวบ้านทั่วไป ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดคิดว่า ทั้งหมู่บ้านอาศัยอุโมงค์เป็นที่หลบภัยจากกองทัพสหรัฐ
ออกจากเมืองกวางตรีเราก็เดินทางสู่ชายแดนลาวบาว (ลาว – เวียดนาม) จากนั้นก็เดินทางสู่ชายแดนมุกดาหาร ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่สอง
จบการเดินทางในทริป 3 มรดกโลก เว้ ดานัง ฮอยอัน ฟองยา (สำหรับการเดินทางครั้งที่2) แต่เพียงเท่านี้ครับ
แต่ยังไม่จบนะครับ ยังมีการเดินทางในครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่ออกทางด่านนครพนม ผ่านด่านนาเผ้า(ลาว) และด่านจาลอของเวียดนาม แล้วเข้าเมืองฟองยาที่จังหวัดกวางบินห์
ชุดนี้จำนำเสนอเมื่อไหร่นั้นก็แล้วแต่โอกาสนะครับ
โฟโต้ออนทัวร์
8 มกราคม 2557
|