ประวัติพระนางซูสีไทเฮา(โดยละเอียด)
ปักกิ่งตอนที่ 6 : ปักกิ่งในยามเช้า ชมกายกรรมปักกิ่ง และร้านขายหยก
(เดินทาง กุมภาพันธ์ 52)
ปักกิ่งตอนที่ 5 ได้พาเที่ยววังฤดูร้อนของพระนางซูสีไทเฮา สนมอันดับ 2 ของจักรพรรดิเสียนเฟิง ซึ่งหลังจากจักรพรรดิเสียนเฟิงสวรรคต ศึกการแย่งชิงบรรลังค์ก็ประทุขึ้น และจักรพรรดิองค์ต่อๆมา ได้ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของพระนางซูสีไทเฮา แม้กระทั่งกษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ชิง ที่มีชื่อว่า ฝู่อี๋ หรือ ฟูยี (Puyi) ก็ถูกแต่งตั้งจากพระนางซุสีไทยเฮาด้วยวัยเพียง 2 ขวบ จนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์ประวัติศาสตร์เรื่องThe Last Emperor และโด่งดังไปทั่วโลก พร้อมกับคว้ารางวัลมามากมาย
ผลของภาพยนต์เรื่องนี้ทำให้ชาวโลกให้ความสนใจกับประวัติศาสตร์ของจีนอย่างกว้างขวาง แม้แต่ภาพยนต์เรื่องพระนางซูสีไทเฮา ก็ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์เรื่องแล้วเรื่องเล่า
เรื่องราวของพระนางซูสีไทเฮา มีความเป็นมาอย่างไร หาอ่านได้ที่นี่ครับ เรานำสาระทางประวัติศาสตร์ของจีนส่วนหนึ่งมาให้อ่านกัน เผื่อว่าหากใครคิดจะไปเที่ยวปักกิ่ง จะได้ศึกษาไว้เป็นพื้นฐานก่อนที่จะได้เห็นพระราชวังฤดูร้อนของซูสีไทเฮาของจริง ว่าอลังการขนาดไหน และกว่าจะสร้างได้ใหญ่โตขนาดนี้ ต้องใช้แรงงานกรรมกรไปเท่าไหร่ ที่สำคัญยังถูกฝรั่งเศสเผาทำลายจนย่อยยับในสมัยสงครามฝิ่น แต่พระนางชูสีไทเฮาก็ได้บูรณะขึ้นมาให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
พระนางซูสีไทเฮาทิวงคตปี พ.ศ. 2450 (พระชนมายุ 73 ปี) แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องราวของพระองค์ กลับมาเป็นข่าวอีกครั้งหนึ่งเมื่อ ปี 2551 หรือ 100 ปี นับจากทิวงคต
โดย CNN รายงานเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 (พ.ศ.2551)
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ตามที่รัฐบาลจีนได้แต่งตั้งคณะแพทย์ ให้ปฏิบัติการทางนิติเวชศาสตร์เพื่อชันสูตรพระศพสมเด็จพระจักรพรรดิกวางสู บัดนี้ ผลปรากฏว่า สมเด็จพระจักรพรรดิสวรรคตอย่างเฉียบพลันเพราะทรงต้องสารหนู โดยปริมาณของสารหนูที่ตรวจพบมีมากถึงสองพันเท่าจากปริมาณที่อาจพบได้ในร่างกายมนุษย์โดยทั่วไป หนังสือพิมพ์ไชนาเดลียังรายงานโดยอ้างคำกล่าวของนายไต้อี้ นักประวัติศาสตร์ชาวจีน อีกว่าการชันสูตรดังกล่าวทำให้ข่าวลือเรื่องซูสีไทเฮามีพระราชเสาวนีย์ให้สังหารสมเด็จพระจักรพรรดิเป็นเรื่องจริง
ประวัติศาสตร์จีนเป็นสิ่งที่ชาวตะวันตกให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ปริศนาที่มีมานานนับพันๆปีหลายเรื่องได้ค้นพบความจริงในยุคนี้
นอกจากนี้ก็ยังมีโครงการความร่วมมือระหว่างนักโบราณคดีของจีนกับชาติตะวันตกอีกหลายโครงการที่กำลังศึกษากันอย่างขมักเขม้น ซึ่งคงมีข่าวให้ชาวโลกได้รับรู้ในโอกาสต่อๆไป
หลายคนอาจสงสัยว่า จีนก็นับว่ายิ่งใหญ่ มีนักโบราณคดีก็มาก แต่ทำไมจึงมาร่วมมือกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะกับฝรั่งเศส ซึ่งเคยเป็นคู่อริกันมาก่อนในสงครามล่าอาณานิคมเมื่อราว 100 ปีก่อน จนสร้างความเจ็บปวดให้กับจีน และประเทศต่างๆในแถบอินโดจีนมาแล้ว
คำตอบก็คือว่า คนชาติตะวันตกหรือชาติยุโรป กับชาติทางซีกโลกตะวันออก ที่มีจีนเป็นศูนย์กลางนั้น คิดไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องการค้นหาความจริงทางด้านประวัติศาสตร์และอารยะธรรม ซึ่งชาติตะวันตกได้สั่งสมความรู้การค้นคว้าวิจัยจากทั่วโลกมามากมาย ขณะเดียวกันก็มีเครื่องไม้เครื่องที่ทันสมัยกว่า
ความรู้เหล่านี้มาจากพื้นฐานของคนชาติตะวันตกที่เป็นคนชอบค้นคว้า ศึกษาสืบ เสาะหาความจริง และมีอิสระทางความคิด ซึ่งยากที่คนชาติเอเชียจะเข้าถึง วิทยาการด้านนี้คนเอเชียกับคนยุโรปอาจแตกต่างกันนับร้อยๆปี
หากใครคิดว่าไม่ไช่ก็ลองนึกย้อนอดีตว่า ปราสาทนครวัดนครธม ถูกค้นพบจากนักสำรวจและนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า นายอองรี มูโอต์ (Henri Mouhot) เมื่อ พ.ศ.2403 หรือราว 150 ปีก่อน น่าแปลกตรงที่เค้าอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเล มาศึกษาเรื่องราวทางซีกโลกตะวันออก เพื่อสำรวจธรรมชาติของป่าในเขมรและแม่น้ำโขง
การเข้าป่าสมัยนั้นก็ต้องใช้วิธีนั่งช้างเพื่อเข้าไปยังป่าลึก จนกระทั่งเห็นร่องรอยของปราสาทหินที่มีต้นไม้ปกคลุม ไม่ต่างกับถูกซ่อนไว้โดยธรรมชาติ พร้อมกับสะเก็ตภาพเพื่อนำไปเผยเพร่ในสื่อสิงพิมพ์ของฝรั่งเศส จนตื่นตะลึงกันทั้งวงการ กลายเป็นจุดสนใจให้นักโบราณคดีหลังไหลกันมาสำรวจ
นครวัด-นครธมในช่วงนั้น เป็นของไทยนะครับ สมเด็จพระนเรศวรไปตีเขมรเมื่อปี พ.ศ.2130 สมัยของพระยาละแวก กษัตริย์เขมรในสมัยนั้น เหตุผลที่ตีเขมรก็เพราะ เขมรแอบลอบกัดไทยอยู่หลายครั้ง พอไทยเผลอหรือเฝ้าระวังทำศึกกับพม่า พระยาละแวกก็ยกทัพมาตีหัวเมืองไทย ที่สุดพระองค์ก็ต้องสั่งสอนพระยาละแวกแบบเบาะๆ โดยการตัดหัวฮุนเซ็น เอ้ย..ตัดหัว พระยาละแวก แล้วนำเลือดมาล้างพระบาท (Teen)
เมืองเสียมราฐ พระตระบอง และศรีโสภณ ตกเป็นของกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมาจนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 นายอองรี มูโอต์ ชาวฝรั่งเศส ได้เข้าเฝ้า เพื่อขอพระบรมราชานุญาตเข้าไปสำรวจ
สมัยนั้นคนไทยหรือชาวสยาม คงไม่เข้าใจเรื่องธรรมชาติวิทยา อาจคิดว่าฝรั่งไอ้หมอนี่มันบ้าแน่ และความบ้าของนายมูโอต์นี่แหละ เป็นที่มาของการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่ไช่ค้นพบเพียงปราสาทนครวัดเท่านั้น แต่ได้ค้นพบอาณาจักรขอมโบราณ ที่ถูกทิ้งร้างกลางป่าเป็นระยะเวลาถึงห้าร้อยกว่าปี
คนเขมรก็ไม่มีใครรู้ คนกรุงศรีอยุธยาและกรุงสยามก็ไม่มีใครรู้ว่ากลางป่านั้นมีปราสาทหินเต็มไปหมด ถึงมีก็อาจไม่สนใจ เพราะเป็นแค่ซากหิน ระเกะระกะอยู่กลางป่าดิบ
อธิบายเรื่องราวทั้งหมดนี้เพื่อจะบอกว่าคนชาติตะวันตก กับ ชาติตะวันออก(รวมทั้งไทย) คิดไม่เหมือนกัน แม้แต่ปัจจุบันคนไทยก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับอดีตมากนัก ผิดกับฝรั่งมังค่า ที่คิดไปไกลกว่าพวกเราเป็นร้อยๆปี เราคิดว่าซากหิน ซากดิน ไม่เห็นจะมีประโยชน์ นึกอยากสร้างถนนก็เอารถมาไถ นึกจะสร้างตึกก็ทุบทิ้ง ผิดกับชาติตะวันตกที่เห็นคุณค่า และคิดว่านี่คือสมบัติของชาติที่สามารถทำเงินได้ในอนาคต
จากเรื่องราวข้างต้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมฝรั่งเศสจึงขอแลกจังหวัด เสียมราฐ พระตระบอง และศรีโสภน ซึ่งเป็นดินแดนของไทย
เพื่อแลกกับ ตราด เกาะกง และด่านซ้าย ของฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2449 สมัยรัชกาลที่ 5 และหากอ่านเรื่องราวของนาย มูโอต์ นับจากออกเดินทาง ผ่านมาทางสิงคโปร์ ซึ่งได้ทุนสำรวจจากอังกฤษ ก็อาจะพอจะเดาใจได้ว่า การสำรวจในดินแดนอินโดจีน หรือประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงครั้งนี้ น่าจะมีวัถตุประสงค์เป็นอย่างอื่น
คิดแล้วก็น่าเสียดาย ดินแดนที่ฝรั่งเศสแลกกับไทย ซึ่งเป็นอาณาจักรขอมโบราณกลางเมืองเสียมราฐ รวมทั้งปราสาทเขาพระวิหารที่ไทยกำลังทะเลาะกับเขมร เรื่องพื้นที่โดยรอบปราสาท กลายเป็นขุมทรัพย์อันมหาศาลของเขมรในเวลานี้
มาถึงตรงนี้เราคงได้คำตอบว่า การค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญนั้น มันยิ่งกว่าการค้นพบแร่ทองคำ เพราะกินอย่างไรมันก็ไม่หมด ผิดกับสินแร่ทองคำที่มีแต่จะหมดไปเรื่อยๆ
นี่คือความคิดความอ่านของฝรั่งชาติตะวันตก ว่าคิดไม่หมือนกับคนเอเชีย หรือคนตะวันออก ถามว่าทุกวันนี้เราคิดเหมือนเค้า หรือตามเค้าทันหรือไม่ คำตอบก็คือยังตามไม่ทัน แถบช่องว่างนี้ยังถ่างออกไปเรื่อยๆ ยิ่งมาเจอเหตุการณ์ไทยทะเลาะกับเขมรในเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ก็ทำให้เห็นว่า เราห่างชั้นกับชาติตะวันตกมาก
และน่าแปลกไหมละครับที่คณะกรรมการยูเนสโกไม่ได้ให้ความสำคัญกับไทยนัก แต่กลับไปถือหางเขมร และอย่าคิดว่าการที่คณะกรรมการฯได้เลื่อนวาระนี้ออกไปปีหน้าก็อย่าได้ชะล่าใจหรือดีใจ เพราะนี่เป็นกลเม็ดอย่างหนึ่ง ที่องค์กรระดับโลกนำมาใช้ในการแก้ปัญหา เรียกว่าการทอดเวลาพื่อลดความตึงเครียด ซึ่งมีตัวอย่างมาแล้วมากมาย ในกรณีพิพาทต่างๆ
เขาไม่ปะทะหรอกครับ แต่เขารอจังหวะเท่านั้นเอง และขณะนี้เราก็ไม่ทราบว่าคณะกรรมการชุดนั้นกำลังทำอะไรอยู่ ความสงบนิ่งที่เห็นนี้วางใจไม่ได้ เพราะเป็นฉากบังตา ส่วนหลังฉากเค้าทำอะไรกับเขมรนั้น ใครจะทราบได้
ไทยอาจคิดว่า รอเจรจากับเขมรที่ดูเหมือนว่ามีท่าที่ดีขึ้น แต่เขมรก็คือเขมรแถมมีแบ๊คดีอีกต่างหาก มองตาฮุนเซ็นแล้วต้องบอกว่า ไอ้หมอนี่ไว้ใจไม่ได้ เพราะแกเป็นคนพูดจากกลับกลอก แค่แต่งตั้งให้อดีตนายกฯทักษิณ มาเป็นที่ปรึกษาประเทศเขมร ก็รู้ซึ่งถึงความคิดอ่าน ว่าต่ำต้อย ด้อยปัญญาขนาดไหน ครั้นพอรู้ว่าทักษิณไม่มีโอกาสกลับมาเป็นใหญ่ในประเทศไทยแน่ แกก็เริ่มเปลี่ยนยุทธวิธี หันมาญาติดีกับไทย ดู ดูมันทำ..
นี่แหละ เขาถึงบอกว่าเขมร (ฮุนเซ็น) คบไม่ได้ หน้าไหว้หลังหลอก ส่วนเขมรคนอื่นๆคบได้ ไม่มีปัญหา
เขมรสนิทสนมกับคณะกรรมการยูเนสโกนะครับ เพราะเขามาเยี่ยมเขมรทุกปี เพื่อสำรวจและติดตามผลว่าเขมรได้ทำตามกฏระเบียบหรือไม่ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหรือไม่ ทั้งนี้ก็เพราะต้องนำเรื่องนี้ไปเสนอยูเนสโกเพื่ออนุมัติงบประมาณให้ความช่วยเหลือเป็นประจำทุกปี
เขมรเป็นประเทศที่ยูเนสโกให้ความช่วยเหลือหลายๆด้าน เพราะถือเป็นประเทศด้อยพัฒนา โดยเฉพาะอุทยานปราสาทขอม ยูเนสโกได้เข้ามาบริหารจัดการ โดยผ่านองค์กรที่ได้รับการรับรองแล้ว วิธีการก็คือเข้ามาประมูลบริหาร เก็บเงินนักท่องเที่ยว จัดระบบระเบียบในอุทยาน ตั้งแต่ห้องน้ำห้องส้วม ไปจนถึงการขายของที่ระลึก และร้านค้า
ค่าชมนครวัด-นครธม ไม่ถูกนะครับ อยากรู้ว่ากี่บาทก็เอา 31 คูณ
US$ 20 for one day
US$ 40 for three days
US$ 60 for one week
เรื่องความสัมพันธ์กับยูเนสโก กับเขมรจึงแน่นปึ๊กกว่าไทยหลายเท่า ส่วนไทยคิดว่ายูเนสโกคงไม่ได้มายุ่งเกี่ยวมากนัก แค่มรดกโลกอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยาในบริเวณวัดมงคลบพิตรก็ทำซะเละเทะ แค่นี้เค้าก็เขม่นเราจะแย่อยู่แล้ว ผิดกับเขมร ทุกอย่างเรียบร้อย เป็นไปตามกฏเกณฑ์ทุกอย่าง ไม่ต่างกับเป็นเด็กดีที่ว่านอนสอนง่าย
บ้านเรามีแต่ประเภท มึงรุม กูทึ้ง กับมรดกโลก ไม่ว่าจะเป็น อช.เขาใหญ่ หรืออุทยานประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา
แบบนี้ใครอยากจะคบด้วย ยูเนสโกก็ไม่อยากเล่นด้วย ได้เป็นมรดกโลกแล้วแต่ไม่รู้คุณค่า
ที่น่าตลกกับมรดกโลกกรุงศรีฯ ปรากฏว่าบรรดาพ่อค้าแม่ขายที่ ปลูกเพิงค้าขายจนทำให้สภาพแวดล้อมเละเทะเสียหาย มีโอกาสมานั่งร่วมประชุมเพื่อพัฒนาพื้นที่รอบวัดมงคลบพิตร ร่วมกับคณะกรรมการฯ ใครจะเสนออะไร พวกนี้ก็ค้านหมด เพราะไปกระทบผลประโยชน์ของตัวเอง แบบนี้เรียกว่าไม่บ้าก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว มันเหมือนกับว่าทางการกำลังจะแก้ปัญหาขอทานเร่ร่อน แค่ดันให้บรรดาขอทานส่งตัวแทนมานั่งประชุมร่วมกับกรรมการ มิน่าแก้ปํญหาแบบนี้ ไม่ต่างกับสุภาษิตไทยที่ว่า ลิงแก้แห คือยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง
ปัญหาเรื่องเขาปราสาทเขาพระวิหาร ยูเนสโกคงไม่อยากให้ไทยเข้าไปยุ่งก็เพราะเหตุนี้ ขืนยุ่งมากพืนที่โดยรอบก็อาจกลายเป็นสลัม เขาจึงอยากให้เขมรเข้าไปดูแลจัดการ แต่เป็นการดูแลในนามของคณะกรรมการที่ยูเนสโกแต่งตั้ง
เราอย่าทำยึกยักจนเขาหมั่นใส้นะครับ และเขาคงไม่สนใจที่ไทยจะถอนตัวออกไป เค้าอาจคิดว่าถอนไปเสียก็ยิ่งดี เพราะทุกประเทศที่ขอถอนตัว ในที่สุดก็กลับมาง้อใหม่เหมือนเดิม ข้อมูลนี้หาได้ไม่ยาก ขนาดสหรัฐอเมริกาว่าใหญ่ ก็ยังต้องกลับมาง้อ
มีอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อราวปีกว่าๆ ขณะกำลังเป็นข้อพิพาทระหว่าง ไทย-เขมร คณะสำรวจจากยูเนสโกนั่ง ฮ. โดยขึ้นทางฝั่งเขมรเพื่อบินสำรวจพื้นที่เหนือปราสาทเขาพระวิหาร ไทยเราก็โวยวายใหญ่ว่าบินลำเขตแดน เป็นการละเมิดอธิปไตย พร้อมกับทำหนังสือประท้วง
แล้วเป็นไง ยูเนสโก สนไจหรือไม่ ... ตอบเงียบครับ
เราทำตัวเป็นศัตรูกับเขมร ขณะเดียวกันก็ทำตัวเป็นศัตรูกับยูเนสโก เท่านั้นยังไม่พอ ยังคิดระแวงชาติอื่นๆที่จะมาเป็นกรรมการร่วม กล่าวหาว่าชาติต่างๆเหล่านี้มีผลประโยชน์กับเขมรทั้งสิ้น
สรุปว่า ขณะนี้ไทยเราไม่ต่างกับหัวเดียวกระเทียบลีบ ทุกอย่างที่ทำมันกลับสร้างศัตรู และเข้าทางให้กับเขมรจนหมด
เรื่องนี้คิดตื้นๆไม่ได้ เพราะฝรั่งมังค่าพวกนี้คิดลึก และคิดไปไกลกว่าเรามาก หากเราไม่ทันเกมก็อาจเสร็จเขมรอีกเป็นครั้งที่ 2
100 ปีข้างหน้าคนไทยสมัยนั้นอาจนั่งด่าคนไทยสมัยนี้ว่าโง่ เดินหมากเรื่องการต่างประเทศผิดพลาดไปหมด
เขียนไปซะไกล กลับมาเมืองจีนกันต่อดีกว่า
เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของโลก ไม่ว่าจะเป็นมัมมี่ในปิรามิดของประเทศอียิปต์ที่มีอายุหลายพันปี หรือสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์ในส่วนอื่นๆของโลก ผู้ที่มาไขความจริงก็เป็นนักโบราณคดีจากชาติตะวันตกทั้งนั้น
แม้แต่ปราสาทนครวัด แห่งอาณาจักรขอม ก็ถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวฝรั่งเศส มีชื่อว่า นายอองรี มูโอต์ ซึ่งเข้ามาสำรวจในสมัยรัชกาลที่ 4 ในขณะที่ดินแดนทางแถบนั้นยังเป็นของไทย แต่ก็น่าเสียดายว่าขณะกำลังสำรวจพื้นที่ของลาว หรืออาณาจักรล้านช้าง นายมูโอต์ก็ต้องมาเป็นไข้มาลาเลีย หรือไข้ป่า และเสียชีวิตอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคานในเมืองหลวงพระบาง ด้วยวัยเพียง 35 ปี
ในทางกลับกันหากหากนายมูโอต์ เสียชีวิตช้ากว่านี้ เราอาจได้คำตอบว่า ชนชาติไทยมาจากไหน เพราะทุกวันนี้ก็ยังได้คำตอบไม่ชัดเจน จะมาจากจีน อินเดีย หรือขอมกลายร่างก็ยังไม่แน่ใจ
อารยะธรรมอันยิ่งใหญ่ของจีน
จีนเป็นประเทศที่ใหญ่มาก และเป็นศูนย์กลางของอาระธรรมทางซีกโลกตะวันออกมานานหลายพันปี การค้นพบเรื่องราวในอดีตไม่ต่างกับการค้นพบสมบัติเก่าที่สามารถนำมาขายได้ในยุคนี้ ยิ่งเก่ายิ่งสำคัญต่อมวลมนุษย์ ก็ยิ่งมีค่ามาก และเป็นทรัพย์สมบัติทางด้านการท่องเที่ยวที่สามารถนำมาหาประโยชน์ได้อย่างไม่มีวันหมด ต่างกับสินแร่ในดินขุดมาใช้ได้ไม่กี่สิบปีก็จะหมดคุณค่า แต่สมบัติทางอารยะธรรม รวมทั้งประวัติศาสตร์หรือโบราณคดี จะเป็นของยั่งยืนชั่วลูกชั่วหลาน
การท่องเที่ยวกลายเป็นสินค้าหลักของโลกยุคปัจจุบันไปแล้ว ใครคิดไม่ถึง ตามไม่ทัน ก็อาจกลายเป็นประเทศล้าหลัง มัวแต่หาแร่ในดิน สินในน้ำ โดยไม่พัฒนาการท่องเที่ยว อนาคตมีแต่เจ้งกับเจ้ง และมีปัญหาไม่จบสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรงงาน ปัญหาสิ่งแวดล้อม จิปาถะ และในอนาคต คำว่าโรงงาน หรือผู้ใช้แรงงานในภาคอุตสาหกรรม ทีมีคนงานนับพันนับหมื่น จะกลายเป็นปัญหาของชาติ ที่ประเทศพัฒนาเขาเลิกไปหมดแล้ว ถึงมี ก็คงมีเท่าที่จำเป็น ไทยเรายังก้าวไม่พ้นจุดนี้ก็ยังต้องเผชิญกับปัญหากันไปตลอด
จีนกับสมบัติทางอารยะธรรม
อารยะธรรมของจีนยังมีอีกมากมายที่รอพัฒนาเพื่อการท่องเที่ยว และจีนก็ถือว่าเป็น Original หรือเป็นต้นกำเนิดก่อนขยายไปยังประเทศข้างเคียง ตัวอย่างเช่นชุมชนของชาติพันธ์เก่าแก่ในอดีต ที่ยังมีวิถีชีวิตแบบดั่งเดิม ยังมีอยู่มากมายในประเทศจีน ไปวันนี้ก็ได้เห็น ไปพรุ่งนี้ก็ยังเจอ
ต่างกับบ้านเราที่หายากเต็มทน ที่หลงเหลือก็กลายพันธ์เป็นส่วนใหญ่ เช่นชาวเขานุ่งยีนส์ ขับรถกระบะ แต่ในจีนกลับพบว่าชุมชนเก่าแก่ยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ยังมีขนมธรรมเนียมและวัฒนธรรม ที่คงความเป็นเอกลักษณ์อยู่ทุกหัวระแหง และน่าแปลกตรงที่ความเจริญต่างๆก็ไปถึงเมืองนั้น ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง หรือสาธารณูปโภค แต่เค้าก็ยังไม่เปลี่ยนวิถีชีวิต
การละทิ้งวิถีชีวิตและวัฒนธรรมในอดีต จึงไม่ต่างกับการล่มสลายของคนในชาติ เป็นการทำลายสมบัติอันล้ำค่า เราอยู่เมืองไทยอาจมองไม่เห็นภาพที่ว่านี้ แต่ถ้าไปในต่างประเทศ โดยเฉพาะบางประเทศเราอาจเห็นชัดเจน และเกิดข้อสงสัยว่าเค้ารักษาวัฒนธรรมมาจนถึงทุกวันนี้กันได้อย่างไร ทั้งๆที่สังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
ประเทศจีนโชคดีที่ปกครองด้วยรัฐบาลจากพรรคคอมมิวนิสต์ ถือว่ายังมีความคิดอ่านทางอนุรักษ์นิยมอยู่มาก พยายามที่จะเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ได้โหนกระแสไปตามชาติตะวันตก ตัวอย่างเช่นที่เกิดขึ้นกับกูเกิล (Google) เจ้าพ่อระบบ Search Engine บนอินเตอเน็ต อันดับ 1 ของโลก
เหตุที่เกิดขึ้นไม่นานนี้ น่าจะเป็นตัวอย่างว่า จีนไม่ง้อ พร้อมกับบล๊อกเว็บ Google ไปเรียบร้อยแล้ว ฐานไม่ปฏิบัติตามคำร้องขอของจีนที่ไม่ให้เปิดเผยภาพการนองเลือดที่จตุรัสเทียนอันเหมือนเมื่อปี 2532 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 3 พันคน ขณะเดียวกันจีนก็พัฒนาระบบ Search Engine ของตนเองขึ้นมาแทนมี่ชื่อเว็บว่า Baidu และเว็บนี้ไม่ได้พึ่งเกิด จากสถิติเมื่อปี 2552 ระบุว่ามีคนจีนนิยมใช้ระบบ Search ของเว็บนี้ถึง 63.89% และใช้กูเกิล เพียง 31.30 %
หลายประเทศอาจแปลกใจว่าจีนกล้าหักดิบ และหักจริงๆด้วย ในขณะที่ YouTube และ Yahoo ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขของจีน
แต่เรื่องนี้คงไม่จบง่ายว่าใครจะยอมใคร หรือว่าในที่สุด ก็อาจกลับมารอมชอบกันใหม่ หรืออนาคตอาจกลายเป็นมหากาฟย์ระหว่าง Google กับ Baidu ที่ต่างก็พยายามฟาดฟันกันในโลกของไซเบอร์ เพื่อชิงความเป็นใหญ่ และในภาวะที่เงียบงันอยู่นี้ Google ก็รู้ดีว่า ตนเองกำลังถูกมือดีเจาะฐานข้อมูลหรือแฮกเกอร์ แต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยตรงๆว่าใครเป็นผู้กระทำ ได้แต่บอกว่าเป็นแฮกเกอร์ที่มีความเชี่ยวชาญอย่างมาก
จะว่าไปแล้วแฮกเกอร์ หรือนักล้วงความลับนี้มีมานานตั้งแต่ยุคหนังขาวดำละมั้ง ยิ่งในยุคสงครามเย็น หรือสมัยสังคมนิยมรัสเชีย หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกา หรือ CIA กับหน่วย KGB ของรัสเซีย ต่างก็พยายามล้วงตับกันทุกวิถีทาง ชนิดที่ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา ถึงขนาดที่รัสเซียใช้วิธีสะกดจิตเจ้าหน้าที่สถานฑูตสหรัฐเพื่อให้คายความลับ ก็ทำมาแล้ว ดังนั้นเรื่องแฮกเกอร์ในยุคปัจจุบัน จึงไม่ไช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด
ีปักกิ่งตอนที่ 6 รู้สึกว่าจะฝอยไม่เข้าประเด็น หรือไปคนละทางกับภาพ ความจริงก็ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องราวของจีนที่สัมผัสมานั้นมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย เข้าประเด็นบ้าง นอกประเด็นบ้าง แต่ก็ถือว่ามีสาระทั้งนั้น
แผ่นดินจีนกว้างใหญ่ไพศาล มีประชากรประมาณ 1300 ล้านคน จึงหาคู่เปรียบเทียบได้ยาก ด้านภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ก็มีความแตกต่างกันในแต่ละโซนชนิดตรงกันข้ามราวฟ้ากับดิน มีตั้งแต่เมืองหนาวที่มีหิมะแกคลุมยอดเขาตลอดปี ลงไปจนถึงดินแดนทางแถบทะเลทราย มีอูฐให้ขี่ บางโซนก็มี 3 ฤดู บางโซนก็มี 2 ฤดู ยิ่งเรื่องชาติพันธ์ของคนในชาติก็หลากหลาย ทะเลาะกันก็มาก สารพัดปัญหาในเมืองจีน
เรียนรู้ไม่หมดหรอกครับ นี่ยังไม่นับอดีตของจีนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี จะว่าไปแล้วหากรู้เรื่องเมืองจีนก็เหมือนกับรู้จักโลกใบนี้ไปกว่าครึ่ง
และที่แน่ๆ อีกไม่นานจีนก็จะกลายเป็นชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก อย่างมิต้องสงสัย
นั่นนะซิ หากใครคิดวางแผนในอนาคต คิดมีเมียเป็นคนจีนก็ไม่เลว แต่ต้องประเภทพูดจีนกลางได้นะ ประเภท ขาว หมวย สวย อึ๋ม แต่พูดจีนไม่ได้ แบบนี้ก็ไม่แนะนำ
ปักกิ่งตอนที่ 6 นี้ ดูสาวจีนไปพลางๆก่อนก็แล้วกัน ดูแล้วก็งั้นๆ ยังไงก็สู้สาวไทยไม่ได้ แต่ไปทั้งทีก็ต้องหาความแปลกตามาเล่าสู่กันฟัง
พบกันใหม่ในตอนที่ 7 นะครับ เตรียมไว้แล้วว่าจะเป็นเรื่องเมืองปักกิ่งกันโดยเฉพาะ เป็นภาพตึกอาคารที่ถ่ายไว้ขณะนั่งอยู่ในรถ จะเห็นว่าเมืองจีนใหญ่โตขนาดไหน สภาพการจราจรเป็นอย่างไร ดูภาพชุดนี้แล้วก็เหมือนกับเป็นการทัวร์นั่งรถชมเมือง
โฟโต้ออนทัวร์
4 ตุลาคม 2553
|