
ปักกิ่งตอนที่ 8 : เดินทางสู่กำแพงเมืองจีน
(เดินทาง กุมภาพันธ์ 52)
ทริปปักกิ่งในช่วงฤดูหนาวปี 52 มาถึงตอนที่ 8 แล้ว ก็คงยังไม่จบง่ายนะครับ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆที่น่าสนใจอีกราว 3-4 ตอน ซึ่งเป็นตอนที่ต้องต่อสู้กับอากาศที่หนาวเหน็บ(สำหรับคนไทย) แค่ 1 องศาโดยประมาณเมื่อเช้าวันนี้ก็แทบแย่ มือไม้แข้งชาแล้วชาอีก จึงต้องคอยขยับปลายนิ้วมือนิ้วเท้าอยู่บ่อยๆ ไม่เช่นนั้นเลือดคงแข็งตัวแน่
เราออกจากโรงแรมในปักกิ่งพร้อมกระเป๋าสัมภาระ หลังนอนที่นี่มา 2 คืน เพราะคืนนี้จะไปพักอีกเมืองหนึ่งที่หนาวกว่าปักกิ่ง ไกด์บอกว่าอาจเจอหิมะ
เมื่องที่ว่านี้กำลังมีงานเทศกาลแกะสลักน้ำแข็งและโคมไฟที่ หลงชิงเสีย (ชื่องานหรือชื่อเมืองก็ไม่แน่ใจ) แต่งานนี้อาจไม่ใหญ่โตเท่าเทศกาลแกะสลักน้ำแข็งที่เมือง ฮาร์บิ้น เพราะที่นั่นเป็นดินแดนที่อยู่ตอนเหนือสุดของจีน ติดกับเมืองไซบีเรียของรัสเซีย เรียกว่าหนาวสุดๆ อุณหภมิหน้าหนาวจะอยู่ที่ -16 องศา บางปี -38 (สนใจดูภาพงานเทศกาล ฮาร์บิ้น ล่าสุด)
ประเทศจีนในระยะหลังๆนี้พยายามจัดให้มีเทศกาลหิมะหรือเทศกาลแกะสลักน้ำแข็งตามเมืองต่างๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชอบความหนาว ใครเป็นขี้ร้อนและอยากสะใจกับอากาศหนาวคงต้องรอเที่ยวในช่วงต้นๆปี
ปลายทางที่จะไปนอนค้างในคืนนี้ยังอีกไกล ระหว่างทางเราจะแวะชมพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งของราชวงศ์หมิง และดูสนามสกีหิมะหรือ Snow World ส่วนกลางวันเราจะแวะทานข้าวที่เมืองๆหนึ่ง เมนูพิเศษมื้อนี้คือ สุกี้มองโกล
สุกี้จีนกับสุดี้ MK บ้านเราจะแตกต่างกันแค่ไหน ก็ชมภาพในชุดนี้ได้เลย แต่ไกด์เรากลัวว่าคนไทยจะกินสุกี้ไม่อร่อย จึงต้องพกน้ำจิ้มสุดแซ่บมาจากเมืองไทย ปรากฏว่ากี่ขวดก็ไม่พอ เพราะน้ำจิ้มของที่นี่เค้าเป็นแบบจืดๆอย่างที่รู้ๆกัน
ใครจะกินน้ำจิ้มจากประเทศไทยผมก็ไม่สน เพราะคิดแต่ว่ามาเที่ยวทั้งทีเราควรสลัดความเป็นไทยออกไปบ้าง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินที่ไม่ควรกินตามใจปาก อร่อยหรือไม่อร่อยก็ต้องพยายาม จืดก็ว่าไปตามจืด ไม่เผ็ดหรือรสไม่จัดก็ต้องยอม หากจะกินอย่างบ้านเราทำให้รู้สึกว่ามาเที่ยวแล้วขาดทุน และแทนที่เราจะพยายามศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมในเรื่องอาหารของชาติต่างๆ กลับไม่รู้รสชาตินั้น ไม่พอดันไปตำหนิอาหารของเค้าอีกต่างหากว่าไม่อร่อย สู้อาหารไทยไม่ได้
หากคิดแบบนี้ก็รู้สึกว่าจะชาตินิยมมากไป อาหารจีนนั้นถือว่าสุดยอดอาหารระดับโลกที่มีรสชาติละมุนละไม อาหารแต่ละจานแฝงไปด้วยศิลปะและความชำนาญของผู้มีฝีมือทั้งนั้น รสชาติเค้าจึงพอดี และไม่ควรเติมเครื่องปรุงจนเกินจำเป็น โดยเฉพาะเครื่องปรุงแบบไทยๆที่มีรสเผ็ดเป็นหลัก
บางคนไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆแทนที่จะมีประสบการณ์ในการกิน เช่นทานอาหารได้หลากหลายประเทศโดยไม่พึ้งพาน้ำพริกนรก หรือน้ำพริกสวรรค์จากเมืองไทย ที่ไหนได้พี่แกเล่นตำพริกมาจากบ้าน พอนั่งโต๊ะก็ควักขวดน้ำพริกขึ้นมาวาง พร้อมเชิญชวนให้ผมทานด้วยกัน แต่ผมปฏิเสธ เพราะไม่ต้องการกินอาหารแบบแกงโฮ๊ะ หรือแกงมั่ว
เรื่องกินเรื่องใหญ่ แต่ถ้าใครไม่เคยไปต่างประเทศแล้วก็อยากให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆในเรื่องรสชาติการกินควบคู่ไปกับความสนุกสนามกับการท่องเที่ยว ไปไหนจะได้ไม่อดตาย หรือกลายเป็นคนเบื่ออาหาร
คนไทยมากเรื่องในการกินมากกว่าชาติอื่นๆ หรือเปล่า...
ตั้งคำถามเอง แต่อาจไม่มีคำตอบ
เรื่องนี้ผมกลับชื่นชมพวกฝรั่งมาก โดยเฉพาะคนอเมริกัน พี่แกปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว น่าแปลกที่คนพวกนี้ไปที่ไหนจะไม่มีปัญหาเรื่องการกินแม้แต่น้อย เป็นประเภทลิ้นจรเข้หรือเปล่า ก็ลืมขออ้าปากเค้าดู ขนาดถิ่นชาวเขาตามยอดดอย ปรากฏว่าพวกนี้กินอาหารตามที่ชาวเขาเค้าทำให้กิน ข้าวเหนียวหรือข้าวจ้าวได้ทั้งนั้น อาหารก็เป็นแบบท้องถิ่น คนไทยเห็นแล้วทานไม่ค่อยลง สภาพห้องครัวไม่ค่อยน่าดูนัก หม้อที่นำมาทำกับข้าวก็ดำเครอะ คนไทยเห็นแล้วอาจบอกว่าไม่ถูกหลักอนามัย หรือสะอาดไม่พอ แต่ปรากฏว่าพวกฝรั่งนั่งกินกันเฉยโดยไม่บ่นสักคำ
หลักในการทานอาหารของพวกเค้าก็คือต้องปรุงสุกอย่างเดียว และจะไม่ทานของดิบ หรือดิบๆสุกๆเด็ดขาด
ฝรั่งกินง่ายแต่คนไทยกินยาก แถมมากเรื่องอีกต่างหาก ไปเที่ยวที่ไหนเจอประเภทนี้ประจำ ผมว่าเองนะ
นั่งรถมาเพลินได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมงรถก็พามาถึงพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง เป็นจังหวะที่หลายคนกำลังรออยู่ว่าเมื่อไหร่รถจะจอดแวะให้เข้าห้องน้ำ มาถึงก็เห็นรถนักท่องเที่ยวคนจีนจอดอยู่ 4-5 คัน แสดงว่าคณะของเรามาถึงเป็นคณะต้นๆ
พอลงรถก็แจ้นไปหาซื้อที่ปิดหู เดิมใช้หมวกไหมพรมดึงลงมาปิดไว้แต่เอาไม่อยู่ สู้ที่ปิดหูไม่ได้ ซื้อแบบถูกๆราว 30 บาท
นักท่องเที่ยวจีนที่เห็นเช้านี้ราว 100 คน ถือว่าน้อยมากสำหรับแหล่งท่องเที่ยวแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วไปที่ไหนมักเจอกองทัพคนจีนจนชินตา และเมื่อเทียบสัดส่วนคนจีนกับคนต่างชาติแล้วเทียบกันไม่ได้ เราจึงไม่แปลกใจว่าตามสถานที่ต่างๆ คนขายของจะไม่ค่อยง้อนักท่องเที่ยวต่างชาติมากนัก แถมพูดจาไม่รู้เรื่องอีกต่างหาก
อย่าว่าแต่คนขายของถามสถานที่ท่องเที่ยวเลย แม้แต่เจ้าหน้าที่หรือตำรวจก็ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจ พวกเค้าคงคิดว่าคุยกันไม่รู้เรื่องจึงไม่อยากพูดด้วยก็เป็นได้ ใครไปเที่ยวจีนจึงไม่ควรคาดหวังเรื่องบริการอะไรมากนัก
ต่างกับบ้านเราที่ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ตีหน้าเฉยเหมือนคนจีน ตามเคานเตอร์โรงแรมในปักกิ่ง หรือต่างจังหวัดจะเหมือนๆกันหมด คือไม่สนใจลูกค้า เรื่องรอยยิ้มนั้นเลิกพูดเลย พวกนี้ยิ้มไม่เป็น ถามคำตอบคำ บางครั้งถามแล้วไม่อยากตอบเพราะเค้าไม่ถนัดภาษาอังกฤษ ทีภาษาจีนแล้วพูดเป็นต่อยหอย ผิดกับคนไทย ฝรั่งถามอะไรก็ยิ้ม พูดผิดพูดถูกก็ยิ้มลูกเดียว แบบนี้ฝรั่งหรือคนต่างชาติเขาชอบ เพราะดูเป็นมิตรมากกว่าประเทศอื่นๆ
พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งราชวงศ์หมิง (Beijing waxworks palace of Ming Dynasty)
ราชวงศ์หมิงปกครองจีน พ.ศ.1911 - 2187 เทียบกับประเทศไทยก็อยู่ในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 2 (พระเจ้าลือไท) แห่งกรุงสุโขทัย ไปจนถึงสมัยประเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ทรงสร้างพระราชวังบางปะอิน
ตึกพิพิธภัณฑ์ดูค่อนข้างใหญ่โต ภายในจัดเป็นห้องๆแสดงเรื่องราวในประวัติศาสตร์เมื่อหลายร้อยปีก่อน มีเรื่องราวทางวัฒนธรรมสังคม การค้าขาย และการทหาร หรือการรบ ดูแล้วน่าสนใจมากทีเดียว เค้าจัดให้เป็นห้องๆ เล็กบ้างใหญ่บ้าง บางห้องก็ยาวสิบกว่าเมตร มีฉากเป็นภาพวาดผืนใหญ่ รวมทั้งจำลองเหตุการณ์และฉากประกอบให้เหมือนจริง
หลายประเทศเค้าทำเป็นห้องแสดงในทำนองนี้ เช่นเกาะเซ็นโตซ่า สิงคโปร์ เมืองไทยก็มีแถวๆพุทธมณฑล แต่ก็ดูยังไม่ยิ่งใหญ่นัก หากทำเป็นอาคารจัดแสดงให้เป็นเรื่องราวต่างๆเฉพาะก็น่าจะดี เช่นวัฒนธรรมไทย หรือประวัติศาสตร์ไทย
พิพิธภัณฑ์ที่นี่มีเรื่องน่าแปลกอยู่อย่างก็คือตั้งอยู่โดดเดียวเดียวดายอยู่ริมทาง รอบๆบริเวณก็เป็นที่ว่างๆ หรือเป็นสวนผลไม้ ไม่มีตึกอาคารใดๆเลย หากเป็นบ้านเรา และมีการเก็บค่าเข้าชมก็คงเจ้งแน่ แต่ที่จีนเค้าทำได้ เพราะจีนบังคับให้ทุกทัวร์ที่ผ่านเส้นนี้ต้องแวะ ใครไม่จอดแวะรับรองว่าไกด์หรือบริษัททัวร์อาจถูกรัฐบาลเล่นงานได้
นึกไปนึกมา รัฐบาลจีนเค้าคงหัวใส พยายามจัดแพกเกจการเดินทางให้ลงตัวตามเวลาที่ควรจะเป็นในเส้นทางสู่กำแพงเมืองจีน หากมีเวลามากไปก็สร้างอะไรสักอย่างให้รถทัวร์ต้องแวะ จะได้ฆ่าเวลา หรือมีโอกาสขายของไปในตัว โดยสินค้านั้นรัฐบาลเป็นเจ้าภาพ เช่นขายสมุนไพร ยาจีน ขายหยก ขายผ้าไหม ขายชา ฯลฯ และหากเป็นตอนกลางคืนก็จะมีพวกกายกรรมทั้งหลายแหล่ดูดเงินจากนักท่องเที่ยว เรียกว่าไม่ให้หลุดรอดไปได้
บริษัททัวร์ในจีนจึงต้องให้บริการอย่างชนิดที่รัฐบาลมีส่วนเข้ามากำกับในหลายๆเรื่อง จะบอกว่านี่เป็นประชาธิปไตยแบบจีนก็พูดได้ ถามว่าบริษัททัวร์สามารถจัดโปรแกรมได้เองหรือไม่ ก็คงตอบว่าได้เป็นบางส่วน เพราะสังเกตอยู่หลายๆครั้ง เมื่อรถทัวร์เข้ามาจอดในสถานที่แบบนี้แล้ว คนขับจะปิดประตูล๊อค ไม่ให้ใครอยู่ในรถ จะบอกว่าไม่ขอลงรถก็ทำไม่ได้ และกว่าจะเปิดประตูรถก็ต้องรอสัก 1 ชั่วโมง หรือเห็นคนทะยอยออกมาแล้ว
เรื่องนี้ไม่ได้ถามไกด์ แต่ไกด์เคยบอกว่า ทุกครั้งที่พาลูกทัวร์มาก็ต้องเซ็นต์ชื่อไว้เป็นหลักฐานว่ามาแล้วนะ
ลูกทัวร์ไม่ซื้อก็ไม่ว่า แต่ต้องมา และต้องลง ขณะเดียวกันก็ต้องอยู่ในสถานที่นั้นๆ ให้ได้เวลาอันสมควร บางแห่งก็เล่นวิธี ให้ทางเข้าและทางออกอยู่คนละทาง จึงต้องเดินหน้าผ่านร้านขายของไปจนพบประตูทางออก
ราชวงศ์หมิง
สมัยราชวงศ์หมิงเป็นยุคที่มีการค้าขายกับชาติต่างๆมากราว 30 ประเทศ ทั้งยุโรป อัฟริกา และเอเชีย จีนในสมัยราชวงส์หมิงเจริญรุ่งเรืองด้านการค้าขายทางทะเล ประชากรของจีนในยุคปลายๆราชวงศ์นี้มีถึง 100 ล้านคนเลยทีเดียว เรียกว่าเป็นชาติมหาอำนาจของซีกโลกทางฝั่งตะวันออก
ราชวงศ์หมิงถูกโค่นโดยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีน (พ.ศ.2187 -2455)
ในช่วงราว 600 ปี ในสมัยราชวงศ์หมิง เป็นช่วงที่จีนเข้ามาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา เรื่องราวที่ถูกบันทึกจากพ่อค้าชาวจีนในสมัยนั้น กลายเป็นส่วนหนึ่งประวัติศาสตร์ไทย
หลังทานสุกี้มองโกลในมื้อเที่ยงจนอิ่มท้องแล้วเราก็เดินทางต่อสู่กำแพงเมืองจีนที่อยู่ไม่ไกลนัก จากเมื่อเช้าเราออกจากโรงแรมราว 7.30 น. แวะโน่นแวะนี่อยู่ 2 แห่งจนกระทั่งถึงช่วงเวลาอาหารเที่ยงอีกเมืองหนึ่ง
ไกด์บอกว่าเรายังอยู่ในเขตเมืองปักกิ่ง ปรากฏว่าคนไทยร้อง หา.. กันใหญ่ เพราะนั่งรถมาตั้งไกลก็ยังอยู่ในเมืองปักกิ่ง ผิดกับประเทศไทย หากคิดเป็นระยะทางสู่ภาคเหนือแล้วก็น่าจะเข้าเขตอุทัยธานีหรือนครสวรรค์แล้ว
ปักกิ่งมีพื้นที่ใหญ่โตอะไรจะปานนั้น รถวิ่งมาครึ่งวันก็ยังไม่พ้นเมืองหลวง จึงต้องขอกลับไปหาข้อมูลกันหน่อยว่า เมืองปักกิ่งนี้เป็มหานครที่ใหญ่โตขนาดไหน
เปรียบเทียบปักกิ่งกับกรุงเทพ (ข้อมูลปี 2010)
ระหว่าง ประชากร พื้นที่ และความหนาแน่นของประชากรใน 1 ตารางกิโลเมตร
- ปักกิ่ง 22 ล้านคน พื้นที่ 16,801 ตรกม. ความนาแน่น 1,309 คน/ตร.กม
- กรุงเทพ 9 ล้านคน พื้นที่ 1,568 ตรกม. ความหนาแน่น 5,769 คน/ ตรกม.
จะเห็นว่า ปักกิ่งมีพื้นที่มากกว่ากรุงเทพราว 10 เท่า แต่พื้นที่ในกรุงเทพเรากลับมีประชากรหนาแน่นกว่าปักกิ่งถึง 4.38 เท่า (5769/1309) ดังนั้นใครไปเที่ยวปักกิ่งแล้วอาจเห็นว่าผู้คนในเมืองปักกิ่งดูประปราย ไม่พลุกพล่านเหมือนกรุงเทพ
ต่างกับประเทศเวียดนามที่ประชากรมากกว่าไทย และมีพื้นที่น้อยกว่า ใครไปเที่ยวเวียดนามแล้วอาจตกใจว่าคนที่นี่มาจากไหนกัน เต็มไปหมดทั้งบนถนนและในเมือง
สำหรับตอนที่ 9 ตอนต่อไปเราจะพาไปปีนกำแพงเมืองจีนที่สูงลิ่ว สูงแค่ไหนต้องตามไปชม เพราะหลายคนเดินขึ้นกำแพงเมืองจีนแบบขาสั่น บางรายขึ้นไปแล้วแต่ลงไม่ได้เพราะทั้งสูงและทั้งเสียว จึงต้องเดินแบบกลับหลังลง
แนะนำว่าใครอยากไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนจึงควรฟิตร่างกายก่อนเดินทาง เพราะทริปปักกิ่งไปเที่ยวที่ไหนก็ต้องได้เหงื่อ และเหนื่อยแน่ แต่ละแห่งก็ใหญ่โตกว้างขวางด้วยกันทั้งนั้น ใครฟิตไม่พอก็รับรองว่าเที่ยวไม่สนุก เผลอๆอาจเป็นลม โดยเฉพาะบรรดา สว. หรือสมาชิกผู้สูงวัยทั้งหลายความดันขึ้น จึงต้องควักยาหอมยาดมกันให้วุ่น
ลูกๆที่พาพ่อแม่เที่ยว จึงควรพากันไปออกกำลังกายให้แข็งแรงสัก 10 วัน จะได้ไม่มีปัญหา ขณะเดียวกันก็เป็นแรงกระตุ้นให้ผู้สูงวัยมีกำลังใจในการออกกำลังกาย เรื่องนี้เห็นมามากแล้ว ผู้ใหญ่บางคนที่ร่างกายไม่ฟิตพอ เจอความสูงเข้าสักหน่อยก็ยอมแพ้แล้ว บอกลูกๆว่าไปเถอะ พ่อจะรออยู่แถวนี้เอง ทั้งๆที่อายุก็ดูไม่มาก
เที่ยวที่อื่นๆอาจไม่มีปัญหา แต่เที่ยวจีนต้องเตรียมพร้อมกันมาบ้าง เพราะไปที่ไหนๆก็มีทั้งเดินทางลาด และต้องเดินขึ้นเนิน จะเที่ยววัดเก่าแก่สักแห่ง ปรากฏว่าอยู่บนเนินบ้าง บนเขาบ้าง ใครไม่อยากเดินก็อาจมีบริการนั่งเสลี่ยงให้คนหาม แต่ก็แพงน่าดู แถมคนหามเสลี่ยงบางคนก็กลิ่นตัวแรง จึงต้องทนดมกันไปตลอดทาง ลงจากเสลี่ยงก็เป็นลมล้มพับทันที
โฟโต้ออนทัวร์
10 กุมภาพันธ์ 2554
|