
ปักกิ่งตอนที่ 13 : ตลาดรัสเซีย แหล่งซ้อปปิ้งของนักท่องเที่ยวไทยในเมืองปักกิ่ง
Russian Market, Beijing Shopping Center
(เดินทาง กุมภาพันธ์ 52)
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ต้องอำลาปักกิ่ง ช่วงเช้าหลังจากแวะหอประตูชัยและวัดลามะแล้วก็เป็นเวลาเที่ยงวัน มื้อนี้เท่ากับเป็นมื้อสุดท้ายในทริปปักกิ่งซึ่งอยู่ในช่วงฤดูหนาว และวันนี้ก็เป็นวันแรกในรอบปีที่มีหิมะ อากาศทั่วไปจึงดูมัวซัว ไม่ค่อยแจ่มใสนัก แม้จะล่วงเลยมาถึงเที่ยงวันก็ยังเห็นหิมะโปรยลงมาบ้าง บางแห่งตามขอบถนนยังมีคราบหิมะขาวยาวเป็นแนว
ระดับอุณหภูมิขณะนี้น่าจะราว 0 ถึง 2 องศา เป็นระดับความหนาวที่คนจีนยังดูเป็นปกติ แต่สำหรับคนไทยแล้วถือว่าหนาวมาก
มันหนาวถึงขนาดที่ว่าเมื่อลงจากรถบัสแล้วก็ต้องรีบวิ่งเข้าไปในภัตตาคารไม่ต่างกับวิ่งหลบฝน ดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ก็เป็นเรื่องจริง และการวิ่งขึ้น-ลงรถ เพื่อไปในอาคารต่างๆก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับคนไทย
เมื่อรถพามาถึงภัตตาคาร ปรากฏว่าทางร้านเค้ารู้ใจคนไทย หนาวแค่ไหนก็เตรียมน้ำแข็งใส่โถไว้บริการคนไทยโดยเฉพาะ นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่คนจีนยอมรับนับถือ
ขณะเดียวกันก็อาจนินทาลับหลังว่า
คงทายนี่มันเป็งอารายของมันวะ แปกซิกหัย.. ขนาดบ่นว่าหนาวจะตายห่าแล้ว มันยังแหลกน้ำแข็งล่าย
เป็นรื่องแปลกที่น่าเหลือเชื่อ ข้างนอกภัตตาคารมีหิมะตก แต่คนไทยยังทานน้ำแข็งกับโค๊กกันหน้าตาเฉย
ในทางตรงกันข้าม หากกรุ๊ปทัวรคนจีนมาเที่ยวเมืองไทยในเดือนเมษา หรือหน้าร้อน คนจีนอาจซดน้ำร้อนกันหน้าตาเฉย คนไทยก็อาจวิจารณ์ทำนองเดียวกันว่า " อากาศเมืองทาย ร้อนอิบอ๋าย ก็ยังแหลกน้ำร้อนอยู่ได้ "
เราออกจากภัตตาคารก็มาซ้อปปิ้งซื้อของกันต่อที่ตลาดรัสเซีย ระหว่างนั่งรถสังเกตเห็นว่าถนนในประเทศจีนเค้ามีช่องทางสำหรับจักรยานกันทุกสาย ไม่ต่างกับช่องทางเดินรถปกติ ถนนสำหรับจักรยานก็ไม่ได้คับแคบ ที่ดูคล้ายเป็นลูกเมียน้อยเหมือนเมืองไทย และ่ทำกันแบบขอไปที เช่นถนนเลียบด่วนเอกมัย - รามอินทรา
คนจีนในปักกิ่งยังใช้จักรยานขี่ไปไหนมาไหนกันเป็นเรื่องปกติ แม้แต่สาวจีนที่ทำงานตามบริษัทห้างร้านก็ขี่จักรยานไปทำงาน ไม่ได้เป็นเรื่องน่าอายแต่อย่างใด และจักรยานที่ชาวจีนใช้กันเป็นจักรยานไฟฟ้าเกือบทั้งหมด
บ้านเราหากคิดจะทำช่องทางรถจักรยานก็ยังไม่สายเกินไป ไปศึกษาดูงานจากประเทศจีนก็น่าจะได้ความรู้มากมาย เพราะเมืองจีนเคยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีจักรยานมากที่สุดในโลกในสมัยที่ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
ตลาดรัสเซียเป็นแค่ชื่อตลาด มีคนจีนเป็นเจ้าของ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับประเทศรัสเซียแม้แต่น้อย ในตลาดก็ไม่มีสินค้ารัสเซียแม้แต่ชิ้นเดียว คนขายในห้างก็เป็นคนจีนล้วนๆ
ตอนแรกคิดว่าตลาดรัสเซียคงเป็นประเภทตลาดนัด มีแผงขายสินค้าเป้นจำนวนมาก เพราะคำว่าตลาดทำให้นึกถึงตลาดสดในบ้านเรา
แต่แท้ที่จริงแล้วกลายเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ มีของขายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ของถูกหน่อยจะอยู่โซนด้านล่าง ของแพงมีเกรดจะอยู่ชั้นบนๆ แพงมากๆหรือประเภทจิวเวอรี่ พวกเพชรนิลจินดา หรือหยก ที่มีลูกค้าน้อยหน่อยก็จะอยู่ชั้นบนสุด
ตลาดรัสเซีย เป็นอาคารใหญ่โตขนาดน้องๆห้างมาบุญครองในบ้านเรา แต่การตกแต่งหน้าร้านเป็นแบบธรรมดาๆ เน้นปริมาณสินค้าให้ดูมากเข้าไว้จะได้ดูอลังการ มากกว่าที่จะคำนึงถึงเรื่องความสวยงามและความเป็นศิลปะในการตกแต่งร้าน อาจเป็นเพราะสินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกรดรอง การตกแต่งร้านจึงไม่ต้องลงทุนอะไรมากนัก เหมือนกับยกตลาดแบกะดินมาไว้ในห้าง
เรื่องความเป็นศิลปะ หรือการออกแบบตกแต่งห้างร้าน เห็นมาในหลายๆเมืองแล้ว ต้องบอกว่าประเทศจีนยังห่างชั้นกับประเทศไทย ผลงานการออกแบบ หรือวิชาการตกแต่งภายในของไทยเราถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของเอเชีย ความเป็นศิลปะ ความเป็น Art ของคนไทยมีความโด่ดเด่นมาก แม้แต่การจัดภูมิทัศน์ของโครงการที่อยู่อาศัย การออกแบบตกแต่งบริเวณด้านหน้าเพื่อสร้างความน่าสนใจ ความสามารถของคนไทยอยู่เหนือจีนค่อนข้างมาก จีนยังทำกันแบบพื้นๆ อาจเรียกว่ายังเชยอยู่ก็ได้
ตลาดรัสเซียขายสินค้า Made in China ร้อยเปอร์เซ็นต์
ส่วนเรื่องคุณภาพสินค้าจีนรู้ๆกันอยู่ว่าราคาถูก และไม่ทนทาน
ใครซื้อนาฬิกาข้อมือยี่ห้อที่ผลิตในจีน แต่พอจะขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทยเข็มนาฬิกาอาจหยุดเดิน เพราะเป็นรุ่นที่ใช้ได้เฉพาะประเทศจีนเท่านั้น ออกนอกประเทศก็หยุดเดินทันที ใครสนใจซิ้อมาใช้หรือซื้อฝาก ก็ควรถามหารุ่นที่ใช้งานได้ทุกประเทศ ไม่ไช่ได้เพียงแค่ประเทศจีนประเทศเดียว จะได้ไม่ผิดหวัง
่ตลาดรัสเซียผมไม่ได้ซื้ออะไรแม้แต่ชิ้นเดียว
อันดับแรกคือเบื่อเรื่องการต่อรอง คนจีนรู้ว่าคนไทยเป็นลูกอีช่างต่อ จึงบอกราคาสูงจนดูเว่อร์ ของราคา 6-700 อาจบอก 1000 จากนั้นก็ใช้วิธีต่อรองกันเอาเอง ใครต่อเก่งก็อาจได้ราคาที่เหมะสม ใครต่อไม่เก่งก็โดนฟันราคาจนเลือดไหลซิกๆ
อีกอย่างหนึ่งให้จำไว้เลยว่า หากไม่สนใจก็อย่าต่อเล่นๆ เพราะหากต่อจนได้ราคาแล้วเดินหนี อาจโดนด่าไล่หลัง
วันนั้นผมถามราคาเสื้อแจ๊กเก็ตกันหนาว คนขายบอกว่า 1500 พอหยิบมาดูแล้วเฉยๆ แกบอกลดราคาให้ 1300 ผมก็เฉยอีก ความจริงก็เพียงแค่อยากรู้ราคาเท่านั้นเอง จากนั้นก็เดินออกร้าน
เอาละซิ มันเดินตามมา พูดไทยปนจีน แต่เสียงดังฟังชัดกึ่งๆตะโกน ด้วยหน้าตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก
" ให้เท่าหล่าย ๆ ๆ "
ผมก็แค่โบกมือว่าไม่เอา นึกในใจว่า ให้แค่ไหนกูก็ไม่เอา
รู้สึกว่าไอ้ตี๋คนนี้ ท่าทางกระฟัดกระเฟียดน่าดู คงโกรธที่เราไม่ต่อราคา แถมเดินออกไปเฉยเลย
แบบนี้ก็มีนะครับ แต่ความจริงแล้วพวกนี้เค้าเล่นละครด้วยกันทั้งนั้น แกล้งทำเป็นโมโหเพื่อให้เราตัดสินใจซื้อของพวกมัน
อีกแบบหนึ่งที่ผมเจอ
ไปยืนจ้องรองเท้าผ้าใบแบบลำลอง ไม่ซื้อหรอกครับแต่แบบมันน่าสนใจ จากนั้นเดินไปร้านอื่น ปรากฏว่าคนขายน่าจะเป็นพวกตุ๊ด มาฉุดแขนผมใหญ่ พร้อมกับหยิบคู่ที่ผมดูเพื่อให้ลองใส่ บอกลองก่อนๆ อ้างใช้วัสดุทำอย่างดี ใช้นานใช้ทน
ผมก็ไม่เอา จะเดินหนีลูกเดียว ปรากฏว่าพี่แกไม่ยอมปล่อยมือ จะลากเข้าร้านให้ได้ จนร้านข้างเคียงหัวเราะชอบใจใหญ่
เจอแบบนี้ก็ไม่ทราบว่าผมถูกลวนลามหรือเปล่า
ที่เล่าให้ฟังเผื่อว่าชายไทยประเภทหล่อ ล่ำ ก็อาจเจอแบบผมก็เป็นได้
มาเที่ยวเมืองจีนจึงต้องเพิ่มความรักตัวสงวนตนให้มากขึ้น
สิ่งที่ต้องระวังอีกอย่างเมื่อมาเที่ยวเมืองจีนก็คือ เงินปลอม มันระบาดไปทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้แต่เมืองหลวงปักกิ่ง คนจีนด้วยกันเองก็ดูจะไม่ค่อยสนใจนัก เพราะเค้าชินแล้ว ซื้อของด้วยแบ็งค์ใหญ่เช่น 100 หยวน หรือเท่ากับ 500 บาทต้องระวัง เงินทอนอาจปลอม หรือได้ทั้งของไม่ดีและได้ทั้งเงินปลอมไปพร้อมๆกัน ในห้างเท่านั้นที่ไว้ใจได้ แต่นอกห้างต้องระวังตัวแจ
ทางที่ดี อย่าซื้ออะไรเลยดีกว่า
สินค้าจีนเคยซื้อมาใช้แต่ก็ผิดหวังทุกครั้ง มันถูกจริงแต่โหล่ถ้วยเอามากๆ มาคราวนี้จึงทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ โดยเฉพาะกับบรรดาสาวในห้างรัสเซีย โชคดีที่ห้างนี้อนุญาตให้ถ่ายภาพได้(ไม่เห็นมีใครมาห้าม) จึงเล็งกล้องไปยังเป้าหมายหลักก็คือสาวจีน ประเภทขาว สวย หมวย ที่หน้าตาใช้ได้
เขียนมาถึงตรงนี้ก็อย่าได้อาย ชอบคนไหนให้เดินไปหาเลย แต่ห้ามขอ... เพราะหากขอจะถูกปฏิเสธทันที ต้องทำลักษณะกึ่งบังคับ อย่างน้อยๆก็ขอ 1 รูป โดยยกนิ้วชี้้้ (เป็นเทคนิคอย่างหนึ่ง) พอได้ 1 แล้ว 2 3 4 ก็ตามมาอย่างง่ายดาย
แต่หายากครับ สาวจีนชนิดที่สวยสะดุดตา หรือโดดเด่นจนหัวใจพองตัว สวยไม่สวยก็ดูเอาเองในภาพชุดนี้ที่มีสาวจีนมากกว่าในชุดอื่นๆ บางคนก็หลบ บางคนก็อาย บางคนก็สู้กล้อง บางคนก็หยอกล้อกับผม
มีครบทุกรส
เจ๊าะ แจ๊ะ สาวจีนตามประสาเสร็จแล้วก็ได้เวลาเดินทางสู่สนามบินที่อยู่ห่างจากกรุงปักกิ่งราว 32 กิโลเมตร
เรามุ่งสุ่สนามบินปักกิ่งราวบ่ายสาม แต่ไม่น่าเชื่อว่าระหว่างทางกลับเห็นสวนผลไม้หลายแห่ง เหมือนกับว่ากำลังนั่งรถไปต่างจังหวัด
ปักกิ่งเป็นเมืองใหญ่ระดับมหานคร ทีพื้นที่กว้างขวาง เมืองปักกิ่งจึงประกอบไปด้วยตัวเมืองหรือย่านธุรกิจการค้า ย่านที่อยู่อาศัย และยังมีพื้นที่เรือกสวนไร่นาอีกด้วย ทำให้ปักกิ่งมีความหนาแน่นของประชากรน้อยกว่ากรุงเทพมาก
ลองเปรียบเทียบระหว่างกรุงเทพกับปักกิ่งว่า ในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร จะมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
กรุงเทพ มีพื้นที่ 1,568 ตร.กม.
ประชากร 5.7 ล้านคน(พ.ศ. 2553)
ความหนาแน่น 3,635 คน/ตร.กม.
ปักกิ่ง มีพื้นที่ 16,808 ตร.กม.
ประชากร 10.3 ล้านคน
ความหนาแน่น 888 คน/ตร.กม
จะเห็นว่าใน 1 ตารางกิโลเมตร คนกรุงเทพแออัดยัดเยียดกันถึง 3,635 คน แต่ปักกิ่งมีเพียง 888 คน ทั้งนี้ก็เนื่องจาก ปักกิ่งมีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตว่ากรุงเทพถึง 10 เท่า นั้นเอง จึงเฉลี่ยๆกันไปทำให้ผู้คนในเมืองปักกิ่งไม่แออัดกันมากนัก
สรุปว่าคนจีนมาเที่ยวเมืองไทยก็อาจแปลกใจว่าคนกรุงเทพนี่มาจากไหนกัน ทำไมผู้คนจึงมากมายขนาดนี้ ในทางกลับกัน คนไทยไปเที่ยวปักกิ่งก็อาจแปลกใจว่า ไหนว่าจีนมีประชากรมากมาย แต่คนจีนในปักกิ่งหายไปไหนกันหมด ถนนบางสายจึงดูคล้ายเมืองร้าง หรือถนนผีหลอก
สนามบินเมืองปักกิ่ง
สนามบินปักกิ่งสร้างเสร็จก่อนเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกหรือ Beijing 2008 ไม่นานนัก หรือในเวลาไล่เลี่ยกับสนามบินสุวรรณภูมิในบ้านเรา แต่สนามบินปักกิ่งใหญ่โตกว่าสุวรรณภูมิหลายเท่า ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับผู้โดยสารจำนวนมากมายมหาศาลที่กำลังจะตามมาในอนาคต
สนามจีนปักกิ่งได้เห็นความสะดวกรวดเร็วตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ภายในมีระบบขนส่งผู้โดยสารภายในสนามบินที่ดีมาก
พาเที่ยวปักกิ่งมาถึง 13 ตอน และตอนนี้ได้จบบริบูรณ์แล้วครับ ทริปจีนยังมีอีกหลายแห่งที่จะพาไปชม ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง รวมทั้งฮ่องกงและมาเก้า แต่อาจรอนานหน่อย เนื่องจากต้องเจียดเวลาให้กับเรื่องในประเทศด้วยครับ
ก่อนจบก็ขอฝากตารางการเดินรถไฟใต้ดินของเมืองปักกิ่งมาให้ดูกัน(ฺBeijing Subway Map)ว่ามีความทันสมัยขนาดไหน แต่ที่เห็นนี้ก็ยังไม่เท่ากับเกาะฮ่องกง ที่มีเส้นทางซับซ้อนกว่านี้มาก
(คลิกที่ภาพ)

โฟโต้ออนทัวร์
26 กันยายน 2554
|