Guilin 9 : เดินมือล้วงกระเป๋าด้วยความหนาว ที่ถนนคนเดิน เมืองหยางซั่ว
Home : Site Update : Articles : City Tour : Events : Flowes & Nature : Gallery : Outbound tour : Portrait & People : Royal Photos : Today Talk : Photo Service : Guest : Free Wallpaper : About site : Misc.
เที่ยวเมืองกุ้ยหลิน ตอนที่ 9 ถนนคนเดินที่หยางชั่ว (เดินทางเมื่อ 14 ธค.51) หลังชมโชว์ Impression Lijiang อันยิ่งใหญ่กลางทะเลสาบแม่น้ำลี่เจียงแล้ว จากนั้นก็มาเที่ยวต่อที่ถนนคนเดินของเมืองหยางซั่ว เมืองเล็กๆของกุ้ยหลิน แต่คืนนี้ดูเหมือนไม่ไช่เมืองเล็ก เพราะเห็นนักท่องเที่ยวจีนนับเป็นพันๆคนมาเดินเล่นกันในยามราตรี ทั้งร้านอาหาร ผับ บาร์ ร้านเสื้อผ้า ร้านขายของที่ระลึก มากมายหลายร้าน คึกคักทีเดียว บรรยากาศถือว่าใช้ได้ ทุกอย่างรวมอยู่ที่นี่ที่เดียว ไม่กระจัดกระจายกระจายไปในที่อื่นๆ ทำให้รัฐบาลจีนควบคุมดูแลได้ง่าย และหลายๆเมืองก็มีสภาพไม่ต่างกับที่นี่ เมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจีนดูเหมือนถูกกำหนดจากรัฐบาล เช่นหลังเที่ยวกลางวันเสร็จ พอตกกลางคืนก็ต้องให้มาจบลงที่ถนนคนเดิน มองภาพรวมๆแล้วเหมือนจะดี เพราะรัฐบาลมีส่วนเข้ามาวางแผนจัดการ ไม่ต่างกับกำหนดแพคเกจท่องเที่ยวในแต่ละเมือง บางเมืองก็อาจมีการแสดงกายกรรมจีนที่เป็นภาคบังคับ ไม่ต่างกับการพาต้อนเข้าร้านขายยาจีน ร้านขายผ้าไหม หรือร้านขายประเภทมุกและของประดับ คนที่มาเที่ยวเมืองจีนแบบเป็นครั้งเป็นคราอาจไม่รู้สึกอะไร ทุกอย่างจบลงด้วยดี นักท่องเที่ยวก็พอใจ แต่ถ้ามาหลายๆครั้งก็อาจรู้สึกว่าคล้ายสูตรสำเร็จ นักท่องเที่ยวเหมือนตกอยู่ในโปรแกรมที่รัฐบาลกำหนดไว้แล้ว เมื่อคราวที่จีนเปิดประเทศใหม่ๆ สมัยที่มีเติ้ง เสี่ยวผิง เป็นผู้นำ หรือหลังพ.ศ. 2525 เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวจากหลายๆประเทศแห่ไปเที่ยวจีนกันอย่างครึกครื้น พร้อมกลับมาเล่าเรื่องต่างๆที่พบเห็นจนเป็นที่สนุกสนาน ตั้งแต่เรื่องกลโกงของคนจีนที่มีสารพัดรูปแบบ โดยเฉพาะเรื่องการทอนเงิน และเรื่องที่ขาดไม่ได้ก็คือ เรื่อง ห้องน้ำห้องส้วม นักท่องเที่ยวชาติยุโรปและอเมริกาส่วนใหญ่มักซอกแซกไปตามที่ต่างๆ ท่องเที่ยวกันเองโดยศึกษาจากคู่มือ หรือ Guide Book ทำให้มีโอกาสได้เห็นเมืองจีนตามที่เป็นจริง จึงได้นำมาเปิดเผยพร้อมกับวิจารณ์ผ่านสื่อ บางครั้งก็เป็นเรื่องที่โลกภายนอกไม่เคยรู้เคยเห็นมาก่อน และหลายเรื่องก็ทำเอารัฐบาลจีนเสียหน้า ว่าเมืองจีนยังมีแบบนี้ด้วยหรือ รัฐบาลจีนสมัยนั้นจึงแก้ปัญหาโดยกำหนดจุดท่องเที่ยวให้เป็นเรื่องเป็นราว ว่าที่ใดสามารถไปเที่ยวได้ และที่ใดเป็นเขตต้องห้าม บางแห่งก็สร้างรั้วสร้างกำแพงสูงๆบังไว้ ขณะเดียวกันก็คาดโทษกับเจ้าหน้าที่ด้วยว่า หากปล่อยให้คนต่างชาติหรือนักท่องเที่ยวเข้าในพื้นที่ที่ไม่ไช่แหล่งท่องเที่ยวที่กำหนดไว้ก็จะมีความผิด ส่วนบริษัททัวร์ก็กำหนดไว้ว่า ห้ามไกด์พาลูกทัวร์ไปเที่ยวนอกเส้นทางที่กำหนดไว้เด็ดขาด หลายปีก่อนจึงเป็นที่รู้ๆกันว่าจีนเปิดประเทศเพื่อให้คนเดินทางมาชมความสวยงามกันแบบผักชีโรยหน้า ให้ดูแต่ส่วนดีและปกปิดเรื่องไม่ดีไม่งาม เพราะกลัวชาวโลกจะหัวเราะเยาะเอา แต่สิ่งที่ห้ามเด็ดขาดในตอนนั้น ก็เรื่องห้ามคนจีนแสดงความคิดเห็นทางเมืองและห้ามวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลให้นักท่องเที่ยวฟัง การที่รัฐบาลจีนออกกฏเหล่านี้ คนจีนในประเทศคงไม่รู้สึกอะไร เพราะชินกับการปกครองที่ทุกคนต้องฟังคำสั่งจากรัฐบาลแต่พียงผู้เดียว ถือเป็นประกาศิตจากสวรรค์ ซึ่งใครไปเที่ยวจีนอาจได้ยินคำว่า " เหนือฟ้า ยังมีรัฐบาล " คำๆนี้คนจีนต้องท่องจนขึ้นใจ เพราะคำสั่งของรัฐบาลถือว่าสูงสุดและสิ้นสุด จะร้องเรียนไม่ได้ แตกต่างกับประเทศอื่นๆที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตยไม่เต็มใบเช่นประเทศไทย คนจีนทั้งประเทศถูกปลูกฝังให้เชื่อรัฐบาล ไม่มีการร้องทุกข์ในคำสั่งหรือกฏระเบียบที่ออกโดยทางการ จะร้องเรียนได้เฉพาะเรื่องการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่กระทำอย่างไม่เป็นธรรมเท่านั้น บ้านเราอาจไม่ค่อยเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องนี้ เพราะเป็นประชาธิปไตยจ๋าจนแทบจะทำได้ทุกอย่างโดยไม่ผิดกฏหมาย เช่นรวมกลุ่มประท้วงตามที่ต่างๆ และหลายครั้งก็เห็นรัฐบาลต้องโอนอ่อนผ่อนปรน จนกลายเป็นความเคยตัว บางกลุ่มก็่มักทำตัวเป็นนักประท้วงมืออาชีพ หรือรับจ้างประท้วงแทนคนอื่นๆ พร้อมรับทรัพย์ ตัวอย่างเช่นการเรียกร้องของกลุ่มสมัชชาคนจนในอดีต ที่เคยตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หรือออกมาประท้วงโดยมีใบสั่ง หรือกรณีที่ขณะกำลังประท้วง อยู่ดีๆพี่แกก็บอกชาวบ้านให้เลิกประท้วงและให้ขึ้นรถกลับบ้านกันแบบดิ้อๆ อย่างชนิดไม่มีปีมีขลุ่ย สาเหตุเพราะฝ่ายรัฐบาลเขาจ้างให้หยุดประท้วง แบบนี้ก็มีครับท่าน งานนี้บรรดาแกนนำรับทรัพย์กันทั้งสองฝ่าย ได้กันคนละล้านสองล้านนะเชียวครับ เรียกว่าได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง และพอส่งชาวบ้านกลับภูมิลำเนาเสร็จ ตัวเองก็ไม่ยอมกลับบ้าน เพราะกลัวถูกชาวบ้านซักฟอก โน่น... ไปเที่ยวต่างประเทศกันเฉย เพราะมีสปอนเซอร์พาทัวร์ ส่วนชาวบ้านก็ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็ต้องรับกรรมไปตามระเบียบ กลับบ้านไปกินปลาร้าปลาแดกเหมือนเดิม ส่วนแกนนำชาวบ้านก็สุขสบาย กินอาหารภัตตาคารและเที่ยวกันอย่างสุขโข ชาวบ้านที่ตกเป็นเครื่องมือ จึงไม่ต่างกับ เจ๊กลากไปไทยลากมา บ้านเรานี่เล่นการเมืองกันแบบใต้ดินนี้กันค่อนข้างบ่อย พอรัฐบาลไหนบริหารงานได้ดี เศรษฐกิจไปโลด ฝ่ายตรงกันข้ามกลัวว่ารัฐบาลจะได้คะแนนนิยมจากประชาชน ก็จ้างพวกนี้แหละ ให้หาเหตุ หาเรื่อง มาประท้วงรัฐบาล พอรัฐบาลหาทางช่วยเหลือ ก็ทำดัดจริตๆ อิดๆ ออดๆ ไม่รับเงื่อนไข พร้อมกับอยู่ประท้วงกันนานๆ เพื่อให้สื่อมาทำข่าวกันทุกวัน เป็นการแย่งพื้นที่ข่าวไปจากฝ่ายรัฐบาล บางสื่อก็งี่เง้า ไม่ทันเกม กลายเป็นว่ามาตกหลุมพลางและเป็นกระบอกเสียงของพวกคนเหล่านี้ ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว เขาว่าไงก็ว่าตาม และกระทำการไปตามที่เขาชักนำอย่างไม่รู้ถูกรู้ผิด ตัวอย่างเช่นเมื่อพืชผลทางการเกษตรราคาตกต่ำ ก็ขนกันมาเททิ้งบนถนนเพื่อประท้วงรัฐบาล นมสดบ้าง มันสัมปะหลังเอย ลำไย สัปปะรด มะเฟือง มะไฟ มะนาว มะพร้าว ส้มโอ ไชโย โห่หิ้ว.. เรียกว่าเห็นกันไม่เว้นในแต่ละปี และสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ ปิดถนน นี่ไงประชาธิปไตยแบบบ้านเรา และไม่คิดว่าคนใช้เส้นทางจะเดือดร้อนกันแค่ไหน อ้างความชอบธรรมแต่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น พอคนเดือดร้อนมากเข้า และกดดันมากขึ้น รัฐบาลก็ต้องยอมทำตาม หรือยอมรับข้อเสนอ และวิธีการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ผ่านๆมา มักจะหมักหมมปัญหาจนมาถึงขีดสุดด้วยการเผาบ้านเผาเมือง แล้วต่อจากคดีเผาเมืองจะเป็นอย่างไรรู้ไม๊ครับ พูดแล้วเหยียบไว้นะ ว่าจะมีกฏหมายนิรโทษกรรมตามมาภายหลัง แต่ตอนนี้ฉากละครมันยังมาไม่ถึงบทที่ว่า ฉากแรกๆนี้ก็ต้องทำเป็นฮึดฮัดให้สมบทบาท ไล่ล่าจับกุม ฝากขัง ฟ้องศาล แล้วติดคุกไปสักระยะ จากนั้นเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ กฏหมายฉบับนี้ก็จะคลอดออกมาเองโดยอัตโนมัติ เชื้อผมเต๊ะ..ตอนนี้อยู่ระหว่างการตั้งท้อง ใครไม่อยากให้เป็นแบบที่ว่า ก็ต้องช่วยกันเหยียบท้องให้มันแท้งตายไปซะ คนทำผิดจะได้ติดคุกเพื่อชดใช้กรรม เรื่องที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นนี้ ในประเทศจีนคงไม่เกิดขึ้น เพราะคนจีนรู้ว่ารัฐบาลเอาจริง และเป่าดิ้นแบบไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม คนทั้งโลกก็ทราบทั่วกันว่าจีนปกครองกันด้วยวิธีที่เด็ดขาด เพราะไม่เช่นนั้นคงเอาไม่อยู่แน่กับประเทศที่มีประชากรพันกว่าล้านคน เมื่อแห่งหนึ่งทำได้ ที่อื่นๆก็จะเอาอย่างบ้าง บ้านเมืองก็คงปั่นป่วนวุ่ยวาย เหมือนกับที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในบ้านเมืองเรา จนวุ่นวายไม่เลิก กระทั่งเกิดเหตุเผาบ้านเผาเมือง เผาห้าง และ ศาลากลางจังหวัด จีนเด็ดขาดในเรื่องกฏหมาย ขณะเดียวกันขบวนการยุติธรรมก็มีประสิทธิภาพสูง สอบสวน ส่งฟ้องศาล และตัดสินคดีในเวลาอันรวดเร็ว ไม่นานนี้เราคงยินข่าวที่ฮือฮาไปทั่วโลก โรงงานผลิตนมเด็กได้ผสมสารเมลามีนซึ่งเป็นสารอันตรายเข้าไปในนมผง จนคร่าชีวิตเด็กไปถึง 6 คน และไม่เกิน 3 เดือนต่อมา ศาลมณฑลเหอเปยตัดสินประหารชีวิตเจ้าหน้าที่ของบริษัท 2 คน จำคุกอีก 10 คน ส่วนนางเถียน เหวินฮัว วัย 66 ปี อดีตผู้บริหารบริษัทซานลู่ ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต นี่คือขบวนการยุติธรรมของจีนที่ดำเนินการพิพากษาตัดสินกันอย่างทันอกใจ และจบลงในขณะที่ข่าวนี้ยังไม่ทันจางไปจากความรู้สึกของคนทั่วไป หันกลับมามองขบวนการยุติธรรมในบ้านเราแล้วก็ไม่อยากนึกถึง ไม่รู้อีกกี่ชาติจึงไปสู่ระดับสากลได้ มีกฏหมายก็เหมือนไม่มี คนทำผิดก็ยังอยู่ดีมีสุขกันถ้วนหน้า แม้แต่อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ก็ยังลอยหน้าลอยตา แลบลิ้นปลิ้นตา เยาะเย้ยขบวนการยุติธรรมบ้านเราอยู่ในต่างประเทศ ล่าสุดพวกแกนนำเสื้อแดง หรือสมุนทักษิณ ที่สั่งเผาประเทศ ก็ยังอยู่ดีมีสุขภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่มีหัวโจกติดคุกได้แก่ เหวง วีระ ณัฐวุฒิ ฯลฯ แต่จะมีสักกี่คนที่เชื่อว่าบุคคลเหล่านี้ถูกปฏิบัติเหมือนเช่นนักโทษทั่วไป วันที่ออกจากคุกมาขึ้นศาล เห็นลงพุงกันเกือบทุกคน อาหารในคุกนี่มันแย่จริงๆ กินแล้วอ้วน กินแล้วหน้าตาสดใส อดอยากจริงๆ ทักษิณทราบแล้วก็ขอความกรุณารีบๆมาติดคุกที่เมืองไทยด้วยเถิด สุขภาพแข็งแรง อายุยืนหมื่นปีเชียวนะ จะบอกฮ่าย ก็อย่างว่าแหละนะ เรือนจำพิเศษ มันจึงต้องกินอยู่กันแบบพิเศษ หรือแบบวีไอพี ไม่เช่นนั้นก็จะเสียชื่อคำว่า เรือนจำพิเศษ ไปหมด คดี ผู้ก่อการร้าย ข้อหาร้ายแรงนะครับ แต่คิดว่าคงอยู่ดีมีสุข จนใบหน้าอิ่มเอิบ ไม่มีแววว่าจะทุกข์ยากเหมือนคนอื่นๆที่ถูกจองจำแต่อย่างใด แผนปรองดองและปฏิรูปแห่งชาติ.... ไม่ทราบว่าใครติดกันอย่างไร ดูแล้วอาจลงเอยเหมือนกับสุภาษิตที่ว่า " ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปก็กลายเป็นบ้องกัญชา " จะออกแบบประเทศไทยให้สวยเริด อนาคตสดใส อยู่ดีมีสุข มีความรักใคร่สามัคคี ไม่ทะเลาะเบาะแว้งหรือคิดจะเผาบ้านเผาเมืองเหมือนที่ผ่านมา ก็ไม่แน่ใจว่าฝันเฟื้องไปหรือเปล่า เพราะคนไทยโดยสันดานแล้วมักจะทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นครั้งเป็นครา ตามเหตุและปัจจัยที่เอื้อหนุน สังคมไทยไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดจะฆ่าจะแกงกันไปตลอดชาติ เหมือนกับที่หลายคนเป็นห่วง ถึงขณะนี้ก็น่าเป็นห่วงคณะกรรมการชุดต่างๆว่ากำลังจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเสียปล่าๆ หรืออีกทีก็อาจไม่มีใครยอมรับแผนที่ว่านี้ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2553 มันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจาก ผีห่าซาตานที่มีชื่อ ทักษิณ ชินวัตร มันหลอกล่อคนไทย เหมือนโยนเศษเนื้อจากต่างประเทศมาให้หมาขี้เรื้อนในบ้านเราแทะกิน มันเอาเงินมายัดปากคนไทย เรื่องก็มีแค่นั้น หากต้องการให้คนในชาติมีความสามัคคีปรองดอง ก็ต้องหาหมอผีไปกำจัดผีห่าที่ว่านี้ มันจึงจะถูกต้อง หรืออีกทีก็ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆนี่แหละ แล้วทุกอย่างก็จะดีเอง รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ดูจะงี่เง่ากับเหตุการณ์ที่ผ่านมา ปล่อยให้ผีห่าหน้าเหลี่ยมตัวนี้มันแลบลิ้นปลื้นตูดกันอยู่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นแผนปลุกระดม ที่คาดว่าจะมีเหตุร้ายตามมา ขนาดวิทยุชุมชนที่ล้างสมอง ปลุกระดม ล้มเจ้ากันทุกวัน รัฐบาลกลับบอกว่า ปิดไม่ได้ ทำไม่ได้ แบบนี้มีด้วยหรือ ปิดไปก่อนซิแล้วให้มันมาฟ้องทีเหลัง ทำไมไม่ทำ ทีตอนนี้แล้วปิดได้ และปิดไปหลายแห่งแล้วละครับท่าน บางแห่งก็ยึดเครื่องมือออกอากาศ บางแห่งก็ถอดเสาส่งสูงๆ ส่วนดีเจทั้งหลาย ก็เผ่นหนีเข้าไปอยู่เขมรกันหลายคน แปลกแฮะทีตอนนี้ละเอาจริง หรือว่า ศอฉ.นี่มันศักดิ์สิทธิ์ เรื่องแผนปฏิรูปและปรองดองแห่งชาติ ความจริงน่าจะปฏิรูปขบวนการยุติธรรมดูจะเข้าเป้ามากกว่า เพราะเรื่องเผาบ้านเผาเมืองที่เกิดขึ้น มันเป็นความล้มเหลวของขบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ตั้งแต่ตำรวจ อัยการ และศาล หากประเทศไทยไม่คิดที่จะปฏิรูปในเรื่องนี้ ก็คิดว่าปัญหาเดิมๆมันก็คงเกิดขึ้นอีก ปฏิรูปประเทศเสร็จก็มาซ้อปปิ้งที่ถนนคนเดินในเมืองหยางซั่วกันต่อ ถนนคนเดินที่หยางซั่ว หากมองไปที่พื้นก็จะว่าปูด้วยแผ่นหิน ซึ่งทำให้คงทนถาวร ไม่สึกกร่อนง่าย และอยู่กันชั่วลูกชั่วหลาน เช่นเดียวกับพระราชวังปักกิ่ง รวมทั้งปราสาทเก่าแก่ที่มีอายุนับพันๆปีของประเทศทางแถบยุโรป หรือปราสาทนครวัด-นครธม ในยุคขอมพันปี ก็ใช้ก้อนหินขนาดใหญ่ปูตามทางเดินยาวไปตลอดแนวนับเป็นกิโลๆ ทุกวันนี้ยังมีสภาพดี สิ่งปลูกสร้างใหม่ๆที่พบเห็นในประเทศจีนพบว่ามักจะใช้หินแกรหนิตเป็นหลัก เช่นทำหัวเสา ราวสะพาน ทางเดินเท้า หรือแม้แต่ขอบทางเดิน น้อยแห่งที่จะเห็นใช้ปูนซีเมนต์เหมือนทั่วๆไป จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ในจีนจึงมีอายุยืนนานนับเป็นพันๆปี จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่สึกกร่อนมากนัก อาจเป็นนิสัยของคนจีนด้วยที่มองการณ์ไกล คิดการณ์ใหญ่ สร้างปัจจุบันเพื่ออนาคตจนชั่วลูกชั่วหลาน ต่างกับสิ่งปลูกสร้างโบราณสถานของไทยและพม่า ที่ก่อสร้างด้วยวิธีก่ออิฐถือปูน ซึ่งทำให้สึกกร่อนได้ง่ายกว่าหิน สาเหตุเป็นเพราะอากาศและความชื้นสามารถแทรกเข้าไปในเนื้อปูนเนื้ออิฐได้ คืนนี้ที่หยางซั่วอากาศค่อนข้างหนาว ราว 7-8 องศาเห็นจะได้ คนไทยเจออุณหภูมิระดับนี้ก็ชักจะทนไม่ค่อยไหว อยู่ได้ไม่นานก็ต้องรีบกลับไปที่พักเพื่อรับเอาไออุ่นจากเครื่องปรับอากาศ บ้านเรามีแต่แอร์เย็นๆ แต่ประเทศในเขตหนาวแอร์จะมี 2 ระบบ ปรับให้เย็น หรือปรับให้ร้อนก็ได้ อากาศหนาาวๆระดับ 0 องศา ก็นอนหลับกันสบาย อาบน้ำอุ่นได้ตามปกติ ข้างนอกหนาวแต่ในห้องอบอุ่น ถนนคนเดินในเมืองหยางซั่วค่ำคืนนี้คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวจีน ส่วนฝรั่งมังค่า หรือคนชาติอื่นๆมีน้อยมาก การพัฒนาการท่องเที่ยวของจีนส่วนใหญ่จึงเน้นเอาใจคนจีนด้วยกันเองมากกว่า แค่จีนเที่ยวจีน เงินก็สะพัดกันไม่หวาดไม่ไหว จนแทบไม่ต้องมาง้อคนต่างชาติ เดินเล่นที่นี่ได้ราว 2 ชั่วโมงก็ต้องกลับที่พัก ยิ่งดึกยิ่งหนาว ชักทนไม่ไหวเหมือนกันครับ ส่วนพรุ่งนี้เช้ายังคงต้องตื่นเช้ากว่าคนอื่นๆ เพราะมีการบ้านต้องทำในตอนเช้ามืด คือรอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่แม่น้ำลี่เจียงตรงหน้าโรงแรมนี้เลย งานนี้พลาดไม่ได้ครับ มาเที่ยวทั้งทีจะนอนตื่นสายได้อย่างไร ยังไงพรุ่งนี้เช้าต้องตื่นก่อนพระอาทิตย์ พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะครับ โฟโต้ออนทัวร์ 14 กรกฏาคม 2553
copyright © www.photoontour.com, All rights reserved : ภาพในเว็บไซต์ได้รับความคุ้มครองตามกฏหมายลิขสิทธิ์ : สนใจภาพ