|
|
Home |
|
|
|
Kunming China เที่ยวคุนหมิง เขาซีซาน ตำหนักทองจินเตี้ยน อุทยานป่าหิน หุบเขาทรายเปลี่ยนสี ถ้ำจิ่วเซียง วัดหยวนทง |
|
|
Kunming 3 คุนหมิงตอนที่ 3 อุทยานป่าหิน Forest stone
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
 |
|
|
|
คุนหมิงตอนที่ 3 Kunming part 3
พื้นที่การเกษตรของคุนหมิงและอุทยานป่าหิน มรดกโลก
(เดินทาง มิถุนายน 2552/2009)
หลังจากเที่ยว “ตำหนักทองจินเตี้ยน” หรือวัดทองจินเตี้ยน ซึ่งเป็นบ้านพักของ “ขุนศึกอู๋ซานกุ้ย” อดีตแม่ทัพผู้โค่นราชวงค์หมิงเมื่อราว 400 ปีก่อน ต่อมาขุนศึกผู้นี้ถูกประณามว่าเป็นคนขายชาติ ซึ่งถ้าอ่านประวัติแล้วก็ไม่ต่างกับบ้านเรา ที่มีการโค่นอำนาจหรือที่มีการปฏิวัติกันบ่อยครั้ง เป็นการแสวงหาอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ
หากโค่นได้หรือปฏิวัติสำเร็จก็ตั้งตัวเป็นใหญ่หรือให้พรรคพวกของตนเข้ามามีอำนาจในรัฐบาล หากทำไม่สำเร็จก็จะถูกจับ กลายเป็นกบฏและอาจถูกประหารชีวิต
แต่บ้านเราผู้ก่อการกบฏหรือปฏิวัติไม่สำเร็จก็ไม่เคยถูกประหาร เพราะหนีไปต่างประเทศเสียก่อน พอบ้านเมืองสงบ รัฐบาลก็ออกกฎหมายนิรโทษกรรม หรือมีการขอพระราชทานอภัยโทษ จากนั้นก็กลับมาเมืองไทยได้อย่างสง่าผ่าเผยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และ
ดูเหมือนว่าเหตุการณ์เดิมๆกำลังจะกลับมาอีกครั้ง
ก็คือเรื่อง “การออกกฎหมายนิรโทษกรรม และการขอพระราชทานอภัยโทษ “
บ้านเรานี่ดีอย่าง บรรดาคนใหญ่คนโตไม่ค่อยมีโอกาสเข้าคุก ไม่ทราบเหมือนกันว่าไปทำกรรมดีแต่ใดมา เพราะท้ายที่สุดแล้วกระบวนการยุติธรรมดูจะเอื้อประโยชน์ให้เป็นบุคคลชั้นพิเศษอยู่เสมอ จากที่เคยเป็นผู้ร้ายก็กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ในบัดดล
เรื่องขบวนการยุติธรรมของไทยดูจะแปลกแตกต่างกว่าประเทศที่เจริญแล้วราวฟ้ากับดิน
ประเทศอื่นๆพอศาลฎีกาพิพากษาตัดสินก็ต้องมีผลบังคับทันที หรือเข้าคุกเข้าตารางกันไปเลย แต่บ้านเราไม่เป็นแบบนั้น ศาลจะตัดสินไปแล้วก็เป็นเรื่องของศาล ถือว่าหมดหน้าที่ของศาล เรายังมีกระบวนการยุติธรรมต่อเนื่องยังไม่จบสิ้น ยังมีลด มีหย่อน ลดโน่นแถมนี่ ชนิดที่นักโทษเองหรือญาติพี่น้องสบายใจได้ เพราะยังมีลูกเล่นต่อจากการตัดสินของศาลตามมาอีกหลายยก
ตัวอย่างเช่นหากศาลตัดสินจำคุก 10 ปีก็อย่าตกใจหากทำความดีความชอบที่เข้าเกณฑ์ พอถึงวันที่ 5 ธันวา หรือ 12 สิงหาคม ของทุกปีก็มีโอกาสได้รับอภัยโทษ ยิ่งเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่เช่นปีกาญจนาฉลองการครองราชย์ 60 ปี ก็มีโอกาสได้รับการลดหย่อนที่มากกว่าปกติ นอกจากนี้ก็ยังมีกรณีพิเศษ 28 กรกาฏาคม 55 เป็นปีครบ 5 รอบ ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช รวมๆแล้วปี 55 นี้ถือว่าเป็นปีแห่งการโชคดีของนักโทษจำนวนหลายหมื่นคน
ไปอ่านที่มาที่ไปของกฏหมายฉบับนี้โน่นนะครับ อ้างว่ามีมาแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา นับว่าประเทศไทยเป็นนักอนุรักษ์นิยมด้านกฏหมายที่เยี่ยมยอดของโลก แต่ถ้าหากว่ายังมีกฏหมายลงโทษแบบโบราณเช่นตอกเล็บหรือบีบขมับก็คงจะนับถือยิ่งกว่านี้
ส่วนลดส่วนที่ 2 คือออกกฎหมายนิรโทษกรรม
ถือว่าเป็นส่วนลดชนิดพิเศษ และทำกันเป็นกรณีพิเศษจริงๆ เรียกว่าเป็นกฎหมายล้างมลทินก็น่าจะเรียกได้ บ้านเราทำกันมาเยอะแล้ว รบราฆ่าฟันจนบ้านเมืองลุกเป็นไฟ หรือตายโหงตายห่ากันเป็นจำนวนมาก ที่สุดแล้วก็เอาผิดกับใครไม่ได้ เพราะสภาผู้แทนมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมยกโทษให้ฟรีๆ ส่วนใครที่ต้องโทษ หรือติดคุกไปแล้วก็จะได้รับการปล่อยตัว ญาติพี่น้องก็ปลื้มอกปลื้มใจน้ำหูน้ำตาไหล ออกข่าวกันใหญ่โต ผู้สื่อข่าวก็รายงานกันชนิดน่าเห็นอกเห็นใจเสียเต็มประดา หรือแอบน้ำหูน้ำตาไหลไปกับบรรดาญาติๆด้วย เปลี่ยนจากความรู้สึกที่เคยถูกกล่าวหาว่าทำชั่ว กลายเป็นคนมีค่าของสังคมไปเสียนั่น
ส่วนที่ 3 นี่ถือว่าต่างจากนานาอารยประเทศประเทศอย่างสิ้นเชิงคือการขอพระราชทานอภัยโทษ
ประเทศที่มีกษัตริย์จะมีกฎหมายแบบบ้านเราหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ แต่คิดว่าคงไม่มี และไม่เคยได้ยินว่าประเทศไหนเค้าทำกัน อังกฤษคงไม่มี ญี่ปุ่นก็ไม่น่าจะมี ที่ไม่มีเพราะกษัตริย์ของเค้าไม่มายุ่งกับการเมืองและการปกครองประเทศ แต่ประเทศเรามีกฎหมายพิเศษ เรียกว่าพิเศษที่สุดในโลกก็ว่าได้ กษัตริย์ยังมีอำนาจทางการปกครองตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ จะพิจารณาลดหย่อนโทษให้ใครก็ได้ตามที่มีผู้เสนอ หรือผ่านขั้นตอนตามระบบระเบียบของกรมราชทัณฑ์
ที่ผ่านมาก็มีการขอพระราชอภัยโทษแบบรายบุคคลมาหลายคดีแล้ว ที่คิดว่าจะติดคุกหัวโตก็อาจพ้นโทษในเวลาอันรวดเร็ว ดูตัวอย่างเช่นนายวีระ มุกสิกพงษ์ อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ที่เคยต้องโทษในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสมัยเป็นเลขาพรรคประชาธิปัติย์เมื่อปี 2529-2531 และถูกตัดสินคดีจำคุก 4 ปี แต่ติดคุกได้แค่ 1 เดือนก็ได้รับอิสระภาพ เพราะพลเอกเปรม ติณสุลานนท์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น เป็นผู้อนุมัติขอพระราชทานอภัยโทษ เท่ากับว่าป๋าเปรมช่วยนายวีระให้พ้นโทษ พอมาถึงปี 51 นายวีระฯ กลายเป็นแกนนำคนเสื้อแดง ที่พากันไปบุกบ้านป๋าเปรม หรือบ้านสีเสาเทเวศน์ อยู่หลายรอบ
สรุปว่าคนที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ จากนั้นก็ไม่นานก็พากันมาบุกบ้านป๋าเปรม ซึ่งมีฐานะเป็นประธานองคมนตรีที่ทำงานใกล้ชิดกับในหลวง เรื่องแบบนี้จะเรียกว่าทำคุณบูชาโทษหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆหลานรักของป๋าคนนี้ก็สร้างความเจ็บช้ำและเจ็บปวดให้กับป๋าเปรมมาแล้ว ดูวิดีโอคลิป
แม้แต่อดีตนายกฯทักษิณก็ยังมีผู้เสนอขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งแกนนำเสื้อแดงก็ประกาศเรื่องนี้บนเวทีชุมนุมที่บริเวณท้องสนามหลวง (ก่อนจะปฏิบัติการเผาเมือง) แต่ตามระเบียบของราชสำนักราชวังระบุว่าต้องถูกคุมขังจากทางราชการ หรือต้องโทษอยู่ในคุก รวมทั้งต้องมีตัวตนอยู่ในราชอาณาจักร จะเดินลอยชายไปประเทศโน้นประเทศนี้ หรือหนีคดีไปซื้อบ้านอยู่ที่ประเทศดูใบแล้วให้ญาติมาขอยื่นพระราชอภัยโทษแบบนี้คงทำไม่ได้
นี่ได้ยินข่าวว่า กำนันเป๊าะ ที่หนีคดีอาญาและแอบไปอยู่ประเทศเขมรมาหลายปีก็กำลังจะชงเรื่องเพื่อขอพระราชอภัยโทษ เพราะเข้าหลักเกณฑ์เป๊ะเลย เช่นคดีถึงที่สุดแล้ว และอยู่ในระหว่างการคุมขังของกรมราชทัณฑ์ (อาจคุมห่างๆอยู่ที่บ้านหรือโรงพยาบาล)
ส่วนที่กำนันเป๊าะโดนจับไปไม่นานนี้คงมีการเตี้ยมหรือนัดแนะกันมาก่อนแล้ว มาโดนจับกันแบบง่ายๆเหมือนปอกกล้วยเข้าปากคงจะยาก ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปก็เป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับอดีตนักเลงจากภาคตะวันออก และมีลูกชายเป็นถึงรัฐมนตรี มีหรือที่คนจะเชื่อว่าถูกจับกันแบบง่ายๆเหมือนนักเลงสิ้นลาย ขนาดเล่าให้หมาฟังหมามันยังไม่เชื่อเลย
ยิ่งนอนคุกได้แค่วันเดียวแล้วขออนุญาตกรมราชทัณฑ์มาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลระดับ 5 ดาว คนเขาก็รู้กันทั้งเมืองว่า “เล่นละครตบตาประชาชน” ต่อไปคงจะนอนอยู่โรงพยาบาลบ้าง หรืออ้างไปพักฟื้นที่อื่นบ้างวนเวียนอยู่แบบนี้ ไม่นานก็อาจได้รับอิสรภาพ เพราะช่องทางการขอพระราชทานอภัยโทษที่คนใกล้ชิดกำลังเร่งเครื่องกันเต็มสูบ อีกไม่นานก็คงเห็นผล ถึงไม่เป็นผลก็คงไม่มีปัญหา แค่กำนันเป๊าะกลับมานอนตีพุงอยู่ที่บ้านแล้วบอกว่ามาพักฟื้นเรื่องหัวใจ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอยู่ใกล้หมอใกล้พยาบาล เท่านี้ก็เหมือนกับพ้นโทษโดยปริยายอยู่แล้ว
เป็นไงครับท่านประชาชนคนไทย คุกมีไว้เพื่อขังคนจน... ชัดมาก
ส่วนรายอดีตนายกฯทักษิณที่ทำเวรทำกรรมไว้กับประเทศไทยไว้มากมาย จากเมื่อก่อนที่ถูกตราหน้าว่าเป็น “ผีห่าซาตาน โกงบ้านกินเมือง” ก็อาจกลับประเทศได้อย่างสง่าผ่าเผย ทั้งกฎหมายนิรโทษกรรมที่อ้างเพื่อความปรองดอง และการขอพระราชอภัยโทษจะเป็นไม้เด็ดที่คนในพรรคเพื่อไทยกำลังลุ้นกันอยู่ โดยเฉพาะรองนายกฯเฉลิม อยู่บำรุงที่เคยหาเสียงไว้ว่าจะอาสาพาอดีตนายกฯทักษิณกลับบ้าน
ที่เขียนมาทั้งหมดก็เพื่อจะบอกให้ฟังว่าขบวนการยุติธรรมในบ้านเรามันแปลกและแตกต่างกว่าประเทศใดในโลกเท่านั้นเอง คนไทยจะได้หูตาสว่างว่าเมืองไทยเรานี้แสนดีหนักหนา นอกจากในน้ำมีปลาแล้วกระบวนการยุติธรรมก็ยังมีกฎหมายพิเศษอีกหลายดอก ที่ฝรั่งได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า พร้อมนินทาลับหลังว่าเป็นประเทศล้าหลังเหมือนเต่าล้านปี
ส่วนใครจะบอกว่า ประเทศเขมรก็มีการขอพระราชอภัยโทษ(เหมือนไทย) ก็จะบอกว่าอย่าเอามาอ้างกันนัก เพราะระบอบกษัตริย์ของเขมรพึ่งรื้อฟื้นกันไม่นานนี้เอง
พอรื้อฟื้นเสร็จกษัตริย์เขมรก็มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯฮุนเซ็น ขึ้นเป็น “สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน” อ่านมาถึงตรงนี้ก็อย่าได้ขำกลิ้งเพราะเป็นเรื่องจริงแบบเขมร หรือแบบเบิร์ดๆ
เขียนเรื่องอดีตแม่ทัพ “อู๋ซานกุ้ย” แล้วก็อดไม่ได้ที่จะวกมาเมืองไทย ต่อไปนี้ก็ได้เวลาล้อหมุนหรือรถออกได้แล้วละครับ
เราออกจากวัดทองจินเตี้ยนในเมืองคุนหมิงราว 9 โมง โปรแกรมต่อไปก็จะไปเที่ยวอุทยานป่าหิน ที่ขึ้นชื่อของเมืองกุ้ยหลิน ซึ่งเป็นป่าหินที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากองค์การยูเนสโก
จากคุนหมิงเราเดินทางเวลา 1 ชั่วโมงเพื่อเดินทางไปยังอุทยานป่าหินในเขตอำเภอ "สือหลิน Shilin " ที่มีระยะทางราว 90 กม. ระหว่างเดินทางได้ผ่านพื้นที่เพาะปลูกชนิดอลังกาลงานสร้างตลอดสองข้างทาง จึงไม่แปลกใจว่าทำไมพืชผักและผลไม้จากคุนหมิงจึงส่งมาตีตลาดเมืองไทย รวมทั้งประเทศทางแถบอินโดจีนอย่างถล่มทะลาย
คุนหมิงเป็นเมืองเกษตรกรรม มีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกเป็นอย่างยิ่ง อุณหภูมิโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 15.5 องศา จากสถิติในรอบ 30 ปี อุนหภูมิต่ำสุด หรือหนาวสุดอยู่ที่ 2.3 องศา และร้อนสุดอยู่ที่ 24.4 องศา จะเห็นว่าสภาพอากาศเหมาะสำหรับการปลูกพืชผักเมืองหนาว
ระหว่างนั่งรถเราเห็นการอยู่อาศัยของชุมชนหรือหมู่บ้านที่ดูจะเป็นกลุ่มเป็นก้อน หมู่บ้านอยู่ทางหนึ่ง ส่วนที่ดินเพื่อการเพาะปลูกก็อยู่อีกส่วนหนึ่งไม่ปะปนกัน ทุกพื้นที่ทุกตารางนิ้วดูจะใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ไม่ต่างกับที่เคยเห็นในประเทศเวียดนาม
ทีน่าแปลกใจอีกอย่างคือระหว่างที่ผ่านภูเขาสูงๆต่ำๆปรากฏว่าเราจะไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนกับว่ารถวิ่งบนทางราบตลอดเวลา และจากภาพถ่ายในช่วงระยะทางราว 90 กม.หรือใน 1 ชั่วโมง จะต้องลอดอุโมงค์ถึง 4 แห่ง แสดงว่าการสร้างถนนในต่างจังหวัดของจีนจะไม่ลัดเลาะไปตามไหล่เขา แต่จะเจาะภูเขาเป็นอุโมงค์ให้รถผ่านไปตลอดเส้นทาง ช่วงไหนที่เจอหุบเขาก็จะสร้างสะพานสูงๆขึ้นมารองรับ แทบจะเรียกว่าไม่มีอุปสรรคใดๆมาขวางกัน แม้จะใช้งบก่อสร้างสูงกว่าปกติก็คงต้องยอมเนื่องจากเป็นการร่นระยะทางและเพื่อทำให้การขับขี่ปลอดภัย ไม่เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
ต่างจากแนวคิดในอีกหลายๆประเทศที่มุ่งจะประหยัดงบประมาณของแผ่นดิน แต่จะไปเพิ่มรายจ่ายของผู้ใช้รถใช้ถนนโดยไม่รู้ตัว เช่น
- ต้องจ่ายค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามระยะทาง
- ต้องเสียค่าสึกหรอรถยนต์ที่วิ่งนานๆ
- ต้องเสียเวลาในการเดินทาง หรือขนส่งสินค้าใช้เวลานานขึ้น
- ต้องเสี่ยงต่ออุบัติเหตุสำหรับการขับขี่บนภูเขา
แนวคิดที่จะเพิ่มรายจ่ายของรัฐแต่ไปลดค่าใช้จ่ายของผู้ใช้รถใช้ถนน ในบ้านเราอาจคิดไม่เท่าประเทศจีน แต่จีนแก้ปัญหาโดยเก็บเรียกค่าผ่านทาง(ในราคาที่แพงมาก) และต้องจ่ายเป็นระยะๆ ไม่ต่างกับการเก็บค่าทางด่วนในบ้านเรา
หากใครมาเที่ยวเมืองจีนแล้วก็จะเห็นว่าทุกครั้งที่เดินทางออกสู่ต่างจังหวัด จะต้องใช้บริการทางด่วนกันตลอด ถึงแค่นี้ก็ยังไม่พอ จีนยังเร่งมือก่อสร้างขบวนรถไฟหัวจรวดขึ้นทั่วทุกภาค เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ เมื่อการคมนาคมสะดวกก็จะช่วยระบายสินค้าและกระจายพืชผลทางการเกษตรได้รวดเร็ว เป็นผลดีกับเกษตรกร และเป็นประโยชน์เพื่อการท่องเที่ยวด้วย
พืชผักและผลไม้ที่จีนมาส่งมาขายในเมืองไทยหรือส่งไปประเทศอื่นๆได้อย่างรวดเร็วชนิดที่ใหม่-สด กว่าพืชผักในบ้านเราเสียอีก ทั้งนี้ก็ด้วยระบบการขนส่ง เช่นถนนหนทางดี รวมทั้งการบรรจุหีบห่อที่ทันสมัย เมื่อมาถึงมือผู้บริโภคจึงดูสะอาด สวยงาม ใหม่สด เช่นองุ่นที่แกะกล่องจากจีนดูน่าซื้อกว่าองุ่นที่มาเป็นเข่งๆ และวางซ้อนทับกันมาแบบบ้านเรา หรือผักต่างๆที่มาจากจีนก็ดูน่ากินน่าใช้ แทบจะไม่ต้องตัดโคนทิ้ง หรือเด็ดใบออก ทุกอย่างถูกคัด ถูกเด็ดมาเรียบร้อยแล้ว นี่คือความแตกต่างที่สามารถสังเกตได้
ในอนาคตหากการคมนาคมสะดวกกว่านี้ ตลาดสดบ้านเราก็อาจมีพืชผักจากจีนวางขายเต็มทั้งตลาด จึงไม่แปลกใจที่รัฐบาลจีนมักเป็นผู้ลงทุนสร้างถนนหนทางแบบให้เปล่ากับประเทศเพื่อนบ้านเช่น พม่า ลาว เวียดนาม หรือแม้แต่เขมร เพราะเป็นการลงทุนเพื่อคนจีนและประเทศจีนทั้งนั้น
รัฐบาลเป็นหัวหอกให้เอกชนอย่างชนิดเบ็ดเสร็จ แม้แต่การสร้างโรงเก็บสินค้าตามชายแดนของประเทศที่อยู่ติดกัน จีนก็ยังไปขอเช่าที่ดินประเทศเพื่อนบ้านในนามรัฐบาล อาจมีสัญญาเช่า 50 ปีหรือ 90 ปี จากนั้นก็นำที่ดินผืนนี้มาให้เอกชนก่อสร้าง สร้างเมือง หรือเช่าต่อเพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจ รัฐบาลจึงทำหน้าที่เพียงแค่อยู่เบื้องหลังหรือทำในนามรัฐต่อรัฐ แค่เอกชนเดินตามรัฐบาลก็รวยไม่รู้เรื่องแล้ว
อุทยานป่าหิน (Stone forest China)
อุทยานป่าหินในประเทศจีนเป็นป่าหินที่ใหญ่โตที่สุดในโลก มีพื้นที่ 350 ตารางกิโลเมตร แต่ส่วนที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีแค่ 12 ตารางกิโลเมตร ในอุทยานมีทางแยกกว่า 400 สาย มีจุดท่องเที่ยว 200 จุด โดยแบ่งพื้นที่อุทยานออกเป็น 3 ส่วนดังนี้
1 ป่าหินใหญ่ (Major stone forest) เป็น Main หลัก หรือจุดสำคัญของอุทยาน มีทางเดินที่วกวน ผ่านไปตามแท่งหินแหลมสูงๆต่ำๆ
2 ป่าหินน้อย (Minor stone forest) เป็นอุยานป่าหินที่มีขนาดไม่สูงมากนัก
3 ป่าหินนอก(Outer stone forest) ซึ่งอยู่บริเวณรอบนอกของป่าหินน้อยและป่าหินใหญ่
ใครจะเที่ยวให้ทั่วทั้งอุทยานหรือทั่วทั้ง 12 ตารางกิโลเมตรก็ต้องใช้เวลาหลายวันและคงเดินกันขาลาก ไม่ต่างกับนครวัด-นครธม ประเทศกัมพูชาที่มีพื้นที่กว้างขวางมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วคนไทยจะไปเที่ยวปราสาทต่างๆของเขมรเพียงแค่ 1-2 วัน และจะเที่ยวเฉพาะสถานที่สำคัญๆเท่านั้น
ทริปกุ้ยหลินอาจแตกต่างกับทริปอื่นๆในเมืองจีน ใครจะมาเที่ยวควรฟิตร่างกายมาก่อน ซึ่งเกือบจะทุกโปรแกรมมีแต่ปีนป่ายขึ้นเขาลงเขาทั้งนั้น แต่จีนก็มีบริการนั่งเสลี่ยงเพื่อลดปัญหาสำหรับคนสูงวัยโดยใช้ผู้หาม 4 คน ราคาอาจแพงบ้างเพราะเป็นราคานักท่องเที่ยว แต่ถ้าใครใช้บริการก็อาจเป็นลมคาเสลี่ยงเสียก่อน เพราะกลิ่นตัวคนหามรุนแรงเหลือหลาย เรียกว่าคูณ 4 แค่คนพวกนี้เดินเฉียดกลุ่มเราก็วงแตกแล้วละครับท่าน เขียนมาถึงเรื่องนี้ก็ต้องบอกตรงๆว่ายังจำกลิ่นได้จนถึงทุกวันนี้
สำหรับคุณหมิงในตอนต่อไปจะเที่ยวอุทยานป่าหินกันต่อ คราวนี้จะเห็นความยิ่งใหญ่อลังกาลของธรรมชาติได้อย่างชัดเจน
โฟโต้ออนทัวร์
15 กุมภาพันธ์ 2556
|
|
|
|
|
kunming Maps : แผนที่คุนหมิง คลิกที่ภาพเพื่อขยาย |
เส้นทางรถ Bus จากเวียงจันทน์สู่คุนหมิง คลิกที่ภาพเพื่อขยาย |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|