Kunming Part 5 Colorful Sand Forest in Luliang
คุนหมิงตอนที่ 5 หุบเขาทรายเปลี่ยนสี เมืองลู่เหลียง
(เดินทาง มิถุนายน 2552/2009)
หลังเที่ยวชมอุทยานป่าหินที่เป็นธรรมชาติอันน่าพิศวงแล้ว จากนั้นก็เดินทางต่อไปยัง เมืองลู่เหลียง(Luliang) เพื่อชมหุบเขาทรายเปลี่ยนสี
ระหว่างเดินทางเป็นเวลาเที่ยงวันจึงแวะรับประทานอาหารที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง และที่นี่ดูจะแปลกกว่าที่อื่นคือมีจิตกรจีนมาวาดภาพสีน้ำกันสดๆที่มุมหนึ่งของร้าน วาดเสร็จก็จะเอากระดาษหนังสือพิมพ์ซับน้ำสีบนกระดาษเพื่อให้แห้ง จากนั้นก็กางออกขายให้กับลูกค้าที่นั่งทานรับประทานอาหาร
นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งสำหรับการท่องเที่ยวในเมืองจีนที่มักเจอวิธีการขายของหรือขายบริการกับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่หันมาเที่ยวในประเทศตัวเองมากขึ้น ชนิดที่แทบจะไม่ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติเลยก็ว่าได้ เพราะไปเที่ยวที่ไหนๆก็เจอแต่นักท่องเที่ยวจีนทั้งนั้น
ใครมาเที่ยวจีนหากตั้งสติไม่ดีหรือไม่รู้มาก่อนว่าประเทศนี้หากินกับนักท่องเที่ยวด้วยวิธีการใดบ้าง
กลับมาบ้านก็อาจเสียดายว่า “ ไม่น่าจ่ายเล้ย..เรา” โดยเฉพาะพวกร้านค้าต่างๆที่ไกด์มักจะบอกว่าเป็นภาคบังคับของการทัวร์เมืองจีนที่ไกด์ทุกคนต้องปฎิบัติ ไม่ว่าจะเป็นทัวร์ในประเทศของคนจีนเองหรือลูกทัวร์จากต่างประเทศ คือการพาลูกทัวร์เข้าร้านขายชาจีน ร้านยาสมุนไพรจีน ร้านหยก ร้านอัญมณี ร้านผ้าไหม ร้านขายครีมทาหน้า ฯลฯ
และแต่ละร้านไกด์ก็อ้างว่าเป็นของรัฐบาล บอกไว้ใจได้ หากซื่อที่อื่นแล้วอาจถูกหลอก
ใครไม่เคยไปเที่ยวจีน เจอคนขายจีนที่พูดไทยได้คล่อง พร้อมกับอ้างสรรพคุณว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ ใครเชื่ออะไรง่ายๆก็เป็นอันเสร็จทุกราย และเสร็จกันมาเยอะแล้ว ดังนั้นไปเที่ยวเมืองจีนจึงควรมีสติ อย่าจ่ายสตังค์ออกไปง่ายๆ คนจีนเป็นคนค้าขายเก่งอยู่แล้วจึงมีวิธีการที่แยบยล และที่ต้องระวังให้มากก็ พวกหมอแมะในร้านสมุนไพรยาจีนทั้งหลาย
ดูฟรี แมะฟรี...
ที่ไหนได้
“จากคนที่ร่างกายแข็งแรงก็จะกลายเป็นคนขี้โรคทันที”
หมอจีนบอกว่าต้องกินยาโน้นยานี้จึงจะหาย ว่าแล้วก็คว้าใบสั่งยามาจดรายการยา ถึงจุดสั่งยาก็ต้องระวังหากกลัวตายตามที่หมอแมะพูดหรือใจอ่อนก็เสร็จหมอกันตามระเบียบ
ปัทโธ่... ขนาดหมอตามโรงพยาบาลหากจะวินิจฉัยโรคอะไรคนไข้ก็ต้องมีอาการมาก่อน ถ้าจะตรวจให้ละเอียดก็ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือ เช่นเจาะเลือด ตรวจอุจาระ ปัสสาวะ หรือตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็ก อุลตร่าซาวน์ จึงจะรู้ว่าเป็นอะไร
แต่หมอแมะเก่งถึงขนาดที่ว่า "ตรวจคนที่ปกติให้กลายเป็นคนที่มีโรค" แค่จับโน่นจับนี่แล้วบอกว่าเราเป็นโรคนั้นโรคนี้ บอกตรงๆว่าไม่เชื่อ เพราะขนาดหมอเทวดาก็ยังไม่เก่งเท่านี้เลย
สรุปว่า หมอแมะต้องการขายยาเพื่อหวังค่านายหน้า....ชัวร์
ดังนั้นวิธีป้องกันก็คือว่าหากหมอแมะหรือเจ้าหน้าที่มาถามเราก็บอกไปว่า ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แต่พวกนี้ก็เก่งนะ รู้ว่าใครถูกหลอกง่ายหรือหลอกยาก และก็แปลกใจว่า ตั้งแต่เข้าร้านยาจีนมาตั้งหลายครั้ง ไม่เคยเลยสักครั้งที่หมอแมะจะมาถามเรา คงรู้ว่า "ไอ้หมอนี่คงหลอกยาก"
แต่ปัจจุบันนี้ตามร้านยาร้านสมุนไพรอาจอาจสร้างความน่าเชื่อถือมากกว่านั้น
โดย ” เอาสมเด็จพระเทพฯไปหากินแล้ว”
ล่าสุดเมื่อสองอาทิตย์ก่อน(19-24 กค.56)ได้ไปเที่ยวสิบสองปันนา(จีนตอนใต้) ปรากฎว่าเจอมากับตัวและเห็นมากับตา เข้าไปในร้านยาจีนเห็นมีภาพสมเด็จพระเทพฯที่เคยเสด็จเมืองจีนขยายใส่กรอบขนาดใหญ่ติดไว้ในห้องที่ลูกค้านั่งแช่เท้าด้วยน้ำร้อนสมุนไพร อีกที่หนึ่งก็เป็นศูนย์สมุนไพรจีน และศูนย์นี้ก็อ้างว่าเป็นศูนย์วิจัยสมุนไพรทางภาคใต้จีน ซึ่งจีนมีเพียง 2 แห่ง แห่งหนึ่งอยู่ทางตอนเหนือติดกับธิเบต และทางตอนใต้ก็คือที่สิบสองปันนาแห่งนี้
ทั้งสองแห่งสองกรณีต้องถือว่าเป็นการแอบอ้างเพื่อหวังผลทางการค้า โดยเฉพาะกับคนไทย ทำให้คนไทยหลงผิดว่าขนาดสมเด็จพระเทพฯ ยังให้ความสนใจและยังเคยเสด็จมาที่นี่
แต่จริง หรือ เท็จ ก็คงไม่มีใครทราบ
ท่านอาจเสด็จไปที่ใดที่หนึ่ง แต่อีกที่หนึ่งที่อาจเกี่ยวข้องกันแบบทางอ้อม กลับถือโอกาสนำภาพของท่านมาหากินกับคนไทย
ที่พูดๆมานี้มีภาพให้ดูหรือไม่ ตอบว่าไม่มีครับเพราะสถานที่ว่ามานี้เค้าห้ามถ่ายภาพ
ส่วนตัวเองก็ไม่ได้สนใจนักกับเรื่องแบบนี้ จึงไม่คิดจะถ่ายภาพ ซึ่งจริงๆแล้วหากจะแอบถ่ายด้วยมือถือก็คงไม่ยากอะไรนัก หรือจะถ่ายเป็นคลิปก็สามารถทำได้
ที่นำเรื่องนี้มาพูดก็เพื่อเล่าสู่กันฟัง และสถานที่บางแห่งดูจะทำหน้าเกลียด พอเห็นว่าไม่มีใครซื้อ หรือไม่มีใครสนใจ เจ้าหน้าที่ที่พูดไทยได้ก็จบการบรรยายเอาดื้อๆ หมอจีนที่อ้างว่าสามารถใช้กำลังภายในรักษาที่นั่งข้างๆก็เดินกลับเข้าห้องไป
ส่วนพิธีกรเจ้าหน้าที่ที่พูดไทยแบบพอฟังได้ก็บอกชัดถ้อยชัดคำว่า “ขอให้เดินทางไปเที่ยวที่อื่นต่อ” ส่วนเอกสารที่แจกให้อ่านพี่แกก็รีบเก็บทันทีทั้งๆที่พึ่งอ่านไปได้แค่ 4-5 บรรทัด
งง...ครับท่าน
คนไทยที่ไปเที่ยวด้วยจึงกันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พร้อมกับนินทาลับหลังว่า “ แบบนี้มันไล่พวกเรานี่หว่า “
ที่ไหนหรือ..
ก็ศูนย์วิจัยสมุนไพรเมืองสิบสองปันนาตั๋วดีนั่นแหละ แหมอ้างเสียดิบดีว่าสมเด็จพระเทพฯเคยเสด็จมาปลูกต้นสมุนไพรที่นี่ คงกะว่าจะเป็นจุดขายได้ละมั้ง
พูดไปไกลกลัวจะเข้าป่าเข้ารกกลายเป็นเรื่องนินทา จึงขอวกกลับมาที่คุนหมิงกันต่อ
เส้นทางจากอุทยานป่าหินสู่เมืองลู่เหลียงเพื่อชมหุบเขาเปลี่ยนสี เป็นเส้นทางชนบท สองข้างทางมีแต่พื้นที่เพาะปลูก ทั้งพืชผัก ผลไม้ ไม้ดอก ไม้ประดับ บางแห่งก็เต็มไปด้วยโขดหินทำให้ยากแก่การเพาะปลูก แต่ก็ไม่มีอุปสรรคสำหรับคนจีน ตรงไหนเป็นดินก็ปลูกพืช ตรงไหนเป็นหินก็เว้นไว้
และที่น่าแปลกเป็นอย่างมากก็คือว่าเมืองคุนหมิงนี่เต็มไปด้วยหินทั้งนั้น เพียงแต่ว่าแหล่งใหญ่จะอยู่ที่อุทยานป่าหิน ส่วนพื้นที่อื่นก็ลดน้อยตามลำดับ
สรุปว่าไปที่ไหนก็เจอแต่หิน มากบ้างน้อยบ้างสลับกันไป
หุบเขาทรายเปลี่ยนสี (Colorful Sand Forest)
เมื่อรถพามาถึงอุทยานหุบเขาทรายเปลี่ยนสีท้องฟ้าก็มืดครึ้ม ฝนทำท่าจะตก จากนั้นก็ลงเม็ด และลงหนักตอนขากลับ โชคดีที่ตกหนักตอนช่วงเที่ยวเสร็จ หากตกในขณะเดินในอุทยานคงไม่สนุกแน่ เพราะเป็นสถานที่โล่งแจ้ง
หุบเขาทรายเปลี่ยนสี เป็นสถานที่น่าสนใจ คนไทยมาเห็นก็ดูจะตื่นตากับพื้นที่อันกว้างขวางใหญ่โตและกินเนื้อที่หลายตารางกิโลเมตร
หุบเขาเปลี่ยนสีหากจะเปรียบเทียบกับบ้านเราก็ลักษณะคล้ายกับแพะเมืองผีในจังหวัดแพร่ แต่ที่เมืองแพร่เป็นพื้นที่ขนาดเล็กแต่หย่อมเดียว พื้นที่เว้าๆแหว่งก็เป็นดิน ซึ่งจะผุกร่อนและเปลี่ยนรูปทรงไปตามกาลเวลา
แต่หุบเขาทรายเปลี่ยนสีมีพื้นที่หลายตารางกิโลเมตร และเป็นเขาหินทรายล้วนๆ เดินผ่านไปแต่ละแห่งก็เห็นหน้าผาหรือภูเขามีมากมายหลายสี เหมือนกับเอาสีไปทา โดยเฉพาะหินสีชมพูที่ดูสวยงามและแปลกตา
หุบเขาเว้าๆแหว่งที่เกิดจากการทรุดตัวของธรรมชาติมีสีแตกต่างกัน เช่นสีแดง สีส้ม สีชมพู สีเหลือง สีน้ำตาล สีเหลืองปนขาว ฯลฯ
ฟังจากไกด์บอกว่าภาพยนตร์จีนหลายเรื่อง(อาจราว 20 เรื่อง) ได้ใช้สถานที่นี้เป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์มานานหลายสิบปีแล้ว เรื่องที่เป็นซีรี่หรือหนังยาวหลายตอนก็จะสร้างฉากให้แข็งแรงทนทานเพื่อใช้กันนานๆ เช่นกำแพงเมืองจีนที่ดูกลมกลืนกับสถานที่ค่อนข้างมาก
ระหว่างเดินในหุบเขาเปลี่ยนสี บางช่วงต้องเดินไปตามบันใดจากด้านบนลงข้างล่าง บันไดที่ว่านี้ก็อาจดูเสียวไส้น่ากลัวสำหรับผู้สูงอายุ หากดูจากภาพก็เหมือนกับว่าลัดเลาะไปตามหน้าผา
แต่ความจริงแล้วไม่น่ากลัว เพราะทางการจีนเค้าสร้างทางเดินให้แข็งแรงมั่นคง มีราวบันใดให้เกาะไปตลอดทาง ขณะเดียวกันพื้นทางเดินก็ยังปูด้วยแผ่นหินป้องกันการลื่น เรียกว่ามีความรอบคอบทีเดียว โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุจึงดูค่อนข้างยาก
และที่สังเกตมาหลายแห่งในประเทศจีนก็จะเป็นลักษณะเดียวกันนี้ คือมีความปลอดภัยเอาใจใส่ในรายละเอียด ผิดกับบ้านเราที่ขาดความรอบคอบ หรือคิดไม่รอบคอบพอ ตัวอย่างเช่น “สระมรกตในจังหวัดกระบี่” ที่นำเสนอเรื่องราวไปก่อนหน้านี้
ปรากฏว่าทางเดินยกระดับที่ลัดเลาะภายในสระมรกต เห็นแต่แรกแล้วว่าบางช่วงของทางเดินยกระดับที่เป็นไม้ ไม่แข็งแรงพอ บางแห่งไม้ผุจนหลุดออกมาจากที่ยึด โอกาสที่จะเดินสะดุดหรือพื้นรองเท้าเข้าไปขัดในช่องว่างของพื้นไม้จึงอาจเกิดขึ้นได้ง่าย
และที่น่าเป็นห่วงอย่างมากก็คือ เห็นหัวตาปูโผล่ออกมาจากแผ่นไม้ที่ผุๆ ดูแล้วก็น่าเสียวไส้
และในวันนั้นเห็นนักท่องเที่ยวจีนคนหนึ่งเดินมาด้วยรองเท้าแตะ แต่ไม่ทราบว่าเดินอีท่าไหน ปลายรองเท้าเข้าไปขัดในร่องทางเดินทำให้ล้มจนเท้าแพลง
เรื่องง่ายๆเกี่ยวกับความปลอดภัยที่อาจถูกละเลย และถูกมองข้าม ทำให้นักท่องเที่ยวต้องเสียงเจ็บเสี่ยงตายกันเอาเอง
ความจริงถ้าจะสร้างให้ปลอดภัยก็สามารถทำได้ และไม่ได้ใช้งบประมาณกันมากนัก แค่เปลี่ยนมาใช้เป็นพื้นปูนซีเมนต์ ข้อดีก็คือพื้นซีเมนต์ทนทานกว่าไม้ชนิดเทียบกันไม่ได้ แถมไม่มีหัวตาปูโผล่ออกมาให้เสียวเล่น
เที่ยวหุบเขาเปลี่ยนสีเสร็จก็นั่งรถเข้าเมือง
เราออกจากหุบเขาเปลี่ยนสีก็นั่งรถเดินทางเข้าเมือง “ลู่เหลียง” (Luliang) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆระดับอำเภอ และเมืองนี้จะเป็นจุดแวะของนักท่องเที่ยวที่เดินทางในทริปคุนหมิง หรือใครมาเที่ยวป่าหินก็ต้องมาแวะเมืองนี้ก่อนเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นๆ
คุนหมิงเป็นเมืองเอกของมณฑลยูนนาน ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีอากาศดีที่สุดของประเทศจีน อุณหภูมิโดยเฉลี่ยประมาณ 25 องศา(ตามที่ไกด์สาธยายให้ฟังมาในรถ) ทำให้การเพาะปลูกหรือการเกษตรค่อนข้างได้ผลดี และคุนหมิงก็เป็นจังหวัดที่ส่งผลผลิตทางการเกษตรไปขายทั่วประเทศจีน รวมทั้งส่งไปขายยังประเทศเพื่อนบ้านเช่นเวียดนาม นอกจากนี่ก็ยังส่งไปขายยังประเทศทางแถบอินโดจีน ซึ่งรวมทั้งไทยด้วย
ขณะนั่งรถผ่านไปยังเมืองต่างๆ ทำให้มีโอกาสเห็นพื้นที่เพาะปลูกชนิดสุดอลังการตลอดระยะทางเป็นร้อยๆกิโลเมตร จะเห็นว่าไม่มีส่วนไหนที่เป็นพื้นที่ว่างเปล่าหรือเป็นป่าหญ้าเหมือนกับที่เห็นในบ้านเรา
คนจีนจึงใช้ประโยชน์จากที่ดินได้คุ้มค่า ไม่ต่างกับที่เห็นในประเทศเวียดนาม
คุนหมิงในตอนต่อไปจะพาไปชม ถ้ำจิ่วเซียง ที่ถือว่าเป็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งของการทัวร์คุนหมิง
ส่วนจะสวยงามน่าดูแค่ไหนก็ต้องติดตามชม แต่ก็อยากจะบอกล่วงหน้าว่าอลังการงานสร้างจริงๆ
โฟโต้ออนทัวร์
30 กรกฎาคม 2556
|