ก่อนหน้านั้นเขมรได้ลักลอบเข้าตีไทยอยู่หลายครั้ง โดยอาศัยจังหวะที่ไทยระวังศึกจากพม่า แต่ก็ตีไม่สำเร็จ สมัยนั้นจึงมีคำว่า เขมรลอบกัด และเป็นที่ทราบกันว่าเขมร(หรือขอม) เป็นคนที่คบไม่ได้ และไม่น่าไว้วางใจ
จึงไม่ต้องสงสัยว่า ปัญหาเรื่องเขาพระวิหารที่ผู้นำเขมรทำกร่างกับไทยทุกวันนี้ สาเหตุก็อาจมาจากสันดานเดิม คบกับพวกเขมรในสมัยนี้ จึงต้องบอกว่า
อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจเขมร นักการเมืองไทยที่มีชื่อพม่า แต่หน้าเขมร ก็อย่าได้ไว้ใจ จะไปรวมกับพรรคใดจึงต้องระวัง
หรือสุภาษิตที่ว่า เจองูกับแขก ให้ตีแขกก่อน ครั้นมาถึงสมัยนี้ ก็มีสุภาษิตใหม่ล่าสุดว่า " เจอแขกกับเขมร ให้ตีหัวเขมรก่อน "
เมืองล้านช้าง(ลาว)ประเทศราชของไทยในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีก็แข็งข้อกับไทย พยายามแยกตัวเป็นอิสระ พระเจ้ากรุงธนฯจึงส่งเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ให้กลับมาเป็นเมืองขึ้นดังเดิม ศึกครั้งนั้นทัพของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้รับชัยชนะ พร้อมกับอัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบาง มาประดิษฐานที่แผ่นดินสยาม
หอพระแก้ว เมืองเวียงจันทน์
แต่เดิมหอพระแก้วนั้นเคยเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ทรงมีพระราชประสงค์ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2108 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้อัญเชิญมาจากนครเชียงใหม่ อาณาจักรล้านนา เมื่อต้องเสด็จกลับมาครองราชบัลลังก์ล้านช้างหลังจากที่พระราชบิดาคือพระเจ้าโพธิสารสิ้นพระชนม์ลง
ในการทำศึกสงครามกับประเทศสยาม เมื่อปี พ.ศ. 2322
สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3
นครเวียงจันทน์ถูกกองทัพสยามตีแตก กองทัพสยามได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครเวียงจันทน์ไปด้วย พร้อมทั้งกวาดต้อนราชวงศ์ชาวลาวกลับไปยังกรุงเทพฯมากมาย
สำหรับหอพระแก้วที่นักท่องเที่ยวเห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นของที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่เกือบทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2480 - 2483 ภายใต้การควบคุมดูแลการก่อสร้างของ เจ้าสุวรรณภูมา ผู้ที่จบการศึกษาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์จากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และต่อมายังได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังจากได้รับเอกราชอีกด้วย แม้หอพระแก้วปัจจุบันจะไม่ใช่วัดอีกต่อไป แต่นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังนครเวียงจันทน์ก็ยังเดินทางมาสักการะบูชากันเป็นจำนวนมาก
สำหรับส่วนในของพิพิธภัณฑ์นั้น จัดแสดง พระแท่นบัลลังก์ปิดทองจารึกพระไตรปิฏก ภาษาขอมและกลองสำริดประจำราชวงศ์ลาว สำหรับประตูใหญ่ทั้งสองเป็นของเก่าที่หลงเหลือมาแต่เดิม บานประตูจำหลักเป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บริเวณโดยรอบของหอพระแก้วเงียบสงบ ร่มเย็นมีไหขนาดกลางจากทุ่งไหหิน ในแขวงเชียงขวางวางตั้งอยู่ 1 ใบ อาณาบริเวณรอบๆ วัดสีสะเกดและหอพระแก้วเคยถูกใช้เป็นศูนย์กลางของหน่วยงานปกครองของฝรั่งเศสสมัยอาณานิคมมาก่อน
หอพระแก้ว เป็นสถานท่องเที่ยวสำคัญสำหรับคนไทยที่เดินทางมาสู่เมืองเวียงจันทน์ เพราะเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น และเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตอยู่นานถึง 214 ปี (ประดิษฐานอยู่ที่หลวงพระบาง 12 ปี พ.ศ.2096-2108 รวมระยะเวลาประดิษฐานอยู่ที่หลวงพระบาง และเวียงจันทน์ เป็นระยะเวลา 226 ปี)
เมื่อเดินเข้ามาในพื้นที่บริเวณหอพระแก้วก็จะเห็นวิหาร หรือหอพระแก้วสวยงามโดดเด่นแต่ไกล มีบรรยากาศที่ดูเคร่งขรึม ไม่มีการตกแต่งหรือประดับกระจกสี เหมือนเมืองไทย หอพระแก้วจึงดูคลาสสิค แสดงถึงความรู้สึกของคนลาวที่ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ เนื้ออิฐเนื้อปูนแต่เดิมเป็นอย่างไร ก็คงไว้อย่างนั้น ให้ความรู้สึกที่ดูดี มีเสน่ห์เป็นอย่างมาก
น่าแปลกไปกว่านั้นที่เห็นพระพุทธรูปอันล้ำค่าสมัยล้านช้าง และหลักศิลาเก่าแก่ ตั้งอยู่รอบระเบียง โดยไม่กลัวหาย ไม่กลัวถูกขโมยแต่อย่างใด
เป็นคำถามในใจของคนไทยเกือบทุกคนที่มาเห็น แต่คำถามนี้สะท้อนให้เห็นถึงจิตใจของคนลาวได้เป็นอย่างดีว่าไม่ได้มีจิตใจที่คิดจะขโมยของมีค่าเหล่านี้ ต่างกับคนไทยที่เป็นสังคมหวาดระแวง ไม่ปลอดภัย กลัวหาย กลัวถูกขโมย ซึ่งของเก่าแก่ล้ำค่าตามวัดต่างๆก็ถูกโจรกรรมมามากต่อมากแล้ว
เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็น่าจะสะท้อนความแตกต่างของจิตใจระหว่างคนลาว และ คนไทยได้เป็นอย่างดี
ความเกรงกลัวต่อบาปของคนลาวนั้นยังฝังแน่นอยู่ในจิตใจ และไม่กล้าทำบาปทำกรรม ยิ่งหากเป็นวันพระแล้วชาวลาวก็ยิ่งถือเคร่งเป็นพิเศษกว่าวันอื่นๆ ถือว่าวันบุญ วันกุศล จะไม่ทำบาป หรือคิดทำบาป
วัดสีสะเกด
จากหอพระแก้วก็ข้ามถนนมายังวัดสีสะเกดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม วัดนี้สร้าง พ.ศ. 2361 (ตรงกับสมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กษัตริย์รัชกาลที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี) ต่อมาพระเจ้าอนุวงค์แห่งอาณาจักรล้านช้าง-เวียงจันทน์เป็นกบฏต่อสยามประเทศ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี จึงส่งสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ เป็นแม่ทัพไปปราบจนสำเร็จ เมื่อ พ.ศ.2371
พร้อมกับอัญเชิญพระเสริม พระใส และพระสุก กลับมาด้วย แต่พระสุกใด้จมน้ำในระหว่างเดินทาง จึงเหลือแต่พระใส และพระเสริม
ต่อมา พระใสได้นำไปประดิษฐานไว้ที่วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ส่วนพระเสริมได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ
เล่ากันว่า เมื่อครั้งที่แม่ทัพจากเมืองสยามมาปราบกบฏเวียงจันทน์ในสมัยรัชกาลที่ 3 (กบฏเจ้าอนุวงศ์ ) ก็ได้เผาเมืองและอัญเชิญพระพุทธรูปองค์สำคัญกลับมาด้วย แต่วัดสีสะเกดรอดพ้นจากการถูกเผ่าก็เพราะว่า เป็นวัดที่สร้างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีส่วนคล้ายคลึงกับวัดในกรุงเทพฯเป็นอย่างมาก จึงไม่มีใครกล้าเผา และมีเพียงวัดเดียวในเวียงจันทน์ที่รอดพ้นมาได้
(สนใจเรื่องราวสำคัญที่ึควรจดจำ สยามประเทศยกทัพปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ อ่านที่นี่ )
ภายในวิหารวัดสีสะเกดเป็นแหล่งสะสมโบราณวัตถุมากมาย เช่นพระพุทธรูปสมัยล้านช้างจำนวนถึง 120 องค์ และยังมีของเก่าแก่อื่นๆ เช่นใบลาน คัมภีร์เก่าแก่ต่างๆ
ออกจากวัดสีสะเกดก็เดินทางมาที่วัดสีเมือง ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนัก วัดนี้มีคนมาทำบุญกันมาก ต่างกับวัดสีสะเกด ที่ไม่เห็นคนลาวไปทำบุญแม้แต่คนเดียว
การมาเที่ยวลาวในวันสำคัญทางศาสนา ทำให้มีโอกาสเห็นศรัทธาของคนลาวที่มีต่อพุทธศาสนาอย่างฝังลึก คนลาวให้ความสำคัญต่องานบุญ ถือเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ขาดไม่ได้
คนลาวถือว่าวัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ การเข้าวัดทำบุญจึงกระทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ตั้งแต่ออกจากบ้าน เช่นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวยงามเป็นพิเศษ การใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เข้าวัดถือว่าเป็นสิริมงคลสำหรับตนเอง
มาเที่ยวเวียงจันทน์ หรือเที่ยวลาวในวันอื่นๆ อาจไม่เห็นบรรยากาศของงานบุญ ถ้าเป็นไปได้ก็ควรหาโอกาสมาเที่ยวในวันที่ตรงกับวันสำคัญทางศาสนา จะได้เปรียบเทียบว่าสังคมลาวกับเมืองไทยนั้นแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ลาวกับไทยอยู่ห่างกันแค่ข้ามแม่น้ำโขง แต่จิตใจ และสภาพสังคมแตกต่างกับไทยเป็นอย่างมาก สังคมในลาวมีแต่ความสงบร่มเย็น ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งและแตกแยกเหมือนสังคมไทย รัฐบาลลาวก็ปกครองประเทศมาด้วยดี แม้บางส่วนอาจคอรัปชั่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงถึงขนาดกินบ้านกินเมืองเหมือนกับที่เมืองไทย จนอดีตนายกรัฐมนตรีต้องมาถูกฟ้องร้องทั้งคดีแพ่งและอาญา คิดเป็นเงินค่าเสียหายหลายหมื่นล้านบาท หลายคดีขณะนี้ก็กำลังอยู่ในการพิจารณาของศาล
ปัจจุบันก็ต้องเร่ร่อน หลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ กลายเป็นนักโทษที่กบดานในต่างแดน เช่นเดียวกับนักการเมืองไทยอีกหลายคนที่กำลังหลบหนีอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองจังหวัดชลบุรี หรือจากจังหวัดสมุทรปราการ ที่คุ้นหน้าคุ้นตา
มีเงินนับพันนับหมื่นล้าน ก็ไม่มีความสุข แทนที่จะมีความสุขความสบายในบั้นปลายชีวิตก็ต้องมาตกนรกหมกใหม้ เวรกรรมจริงหนอ.....
จิตใจของนักการเมืองลาว ต่างกับนักการเมืองไทย ก็ด้วยประการฉะนี้
ทำดีได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว พุทธพจน์ที่เข้าใจง่ายๆ แต่คนบางจำพวกกลับไม่เข้าใจ แถมยังดึงดันดันที่จะทำชั่วกันต่อไป ก็สมแล้วที่ประเทศอังกฤษถอนวีซ่าจนไม่สามารถเข้าไปซุกหัวนอนในคฤหาสน์ราคาแพงได้ กลายเป็นคนเร่ร่อนที่ใครๆก็รังเกียจ ไปประเทศไหนก็ถูกจับตาเป็นพิเศษว่าจะใช้ประเทศตนเป็นกระบอกเสียง เพื่อด่าประเทศไทยหรือดูหมิ่นสถาบันสูงสุดหรือไม่
เฮ้อ..เห็นข่าวแล้วก็กลุ้มแทน ล่าสุดถึงขนาดฟ้องหย่าจนเป็นข่าวไปทั่วโลก หากเป็นมนษย์เดินดินกินมาม่า ก็คงไม่มีใครสนใจ แต่หากเป็นถึงระดับอดีตผู้นำประเทศ ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน ชีวิตนี้ไม่ต่างกับคำว่า หนีหัวซุกหัวซุน ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด ไม่เอาด้วยเลห์ ก็เอาด้วยกล และกล้าทำในสิ่งที่ชวนให้อับอายต่อสังคม
ทุกวันนี้ก็หาได้มีสติ ละ เลิก สำนึกบาป หรือหยุดการกระทำในสิ่งที่สร้างความแตกแยกให้สังคม และหันมาพิจารณาการกระทำของตนในอดีตไม่ แต่กลับทำในสิ่งตรงข้าม พังเป็นพัง บ้านเมืองจะฉิบหายก็ช่างมัน ดูไม่ต่างกับคนเสียสติ
ท้ายที่สุดชีวิตก็ยิ่งดิ่งลงเหวลงนรกพร้อมๆกันทั้งครอบครัว ใครเห็นก็อเนจอนาถ ที่ต้องชดใช้บาปตามกฏแห่งกรรม และเป็นบาปที่ตัวเองก่อขึ้นทั้งนั้น
ละครชีวิตจริงเรื่องนี้น่าจะเป็นบทเรียนสอนใจให้กับหลายๆคน ว่าความร่ำรวยที่ได้มาโดยไม่สุจริตนั้นท้ายทีสุดแล้วเป็นเช่นใด สู้มีชีวิตแบบคนธรรมดาๆดีกว่า ไม่ต้องให้คนทั้งประเทศมารุมด่าและสาปแช่ง
โบราณสอนกันว่า จะแข่งอะไรก็แข่งได้ แต่จะแข่งวาสนาบารมีนั้นมันแข่งกันไม่ได้ ใครอาจเอื้อมคิดจะแข่งบารมีกับบุคคลที่คนทั้งชาติให้ความเคารพและนับถือว่าเป็นพ่อของแผ่นดิน หรือคิดจะล้มล้างสถาบันซึ่งเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของคนทั้งชาติ ก็ต้องมีอันเป็นไปเช่นนี้แล
สาธุ..เวรกรรมนั้นมีจริง
เว็บมาสเตอร์
โฟโต้ออนทัวร์
5 ธันวาคม 2551
|