ซาปา (Sapa) ตอนที่ 3 ทิวทัศน์บนเส้นทางสาย ซาปา - เดียนเบียนฟู - ฮานอย ชมน้ำตกซิลเวอร์ (ขากลับ)
(เดินทางเมื่อ 1 ตค.50)
เที่ยวซาปา ได้มาถึงในตอนที่ 3 แล้ว ตอนนี้ยังถือว่าต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว หลังซ้อนมอเตอร์ไซด์รับจ้างพาเที่ยวไปตามเส้นทางสู่เมืองเดียนเบียนฟู ซึ่งเป็นทางกำลังก่อสร้าง และจุดที่เรามาถึงขณะนี้ เป็นถนนที่อยู่สูงที่สุดของเวียดนาม
ถนนบางช่วงในระหว่างนั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์จะเปียกแฉะไปด้วยน้ำที่ไหลซึมลงมาจากเขา บางช่วงมีน้ำขังคล้ายเป็นฤดูฝน ทั้งๆที่เมืองซาปาในขณะนี้ เริ่มย่างเข้าฤดูหนาวแล้ว
แตกต่างจากภูเขาทางตอนเหนือของไทยที่ช่วงเวลาเดียวกันนี้ มักจะเป็นพื้นที่แห้งแล้ง มีใบไม้แห้งร่วงเต็ม จึงมีโอกาสเกิดไฟป่าค่อนข้างง่าย แต่เทือกเขาเมืองซาปากลับมีความชุ่มชื่น ไม่มีภาพของความแห้งแล้ง ภูเขา หรือท้องทุ่งตามเชิงเขาที่ผ่านมาตลอดทางมีแต่ความเขียวขจี แถมมีอากาศเย็นสบาย
ซาปาได้ชื่อว่าเป็นเมืองตากอากาศ หรือเมืองพักผ่อนของชาวเวียดนาม แต่น้อยคนที่จะได้มาสัมผัส เนื่องจากชาวเวียดนามส่วนใหญ่ยังต้องให้ความสำคัญกับเรื่องปากเรื่องท้องเป็นอันดับแรก คำว่าการท่องเที่ยวในความหมายของคนเวียดนามจึงอาจไกลตัว คนเวียดนามจึงทำหน้าที่เป็นผู้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ มากกว่าจะออกเดินทางท่องเที่ยวเสียเอง
การท่องเที่ยวของคนเวียดนามในระดับผู้มีฐานะ ส่วนใหญ่มักจะมุ่งเน้นออกไปเที่ยวต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า outbound tour มากกว่าจะเที่ยวภายในประเทศ หรือ Domestic tour คล้ายกับเมืองไทยในสมัยหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชอบไปซ้อปปิ้งซื้อของราคาถูกที่ฮ่องกง และสิงคโปร์ เรียกว่าเป็นทริปแรกๆของการดินทางไปต่างประเทศ เนื่องจากค่าใช้จ่ายถูกมาก
พอไปถึงก็จะถูกไกด์พาเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ แนะนำว่าที่ร้านนี้ของราคาถูกกว่า เรียกว่ามีส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์กับทางร้าน หากใครไม่ชอบซ้อป มาเที่ยวอย่างเดียวก็ถือว่าคุ้ม เพราะไม่โดนซ้าร์ทเรื่องราคาของ แต่ส่วนใหญ่เกือบทั้งร้อยมักทนไม่ไหว เพราะฮ่องกงและสิงคโปร์เป็นเมืองปลอดภาษี ราคาสินค้าโดยเฉพาะพวกเครื่องไฟฟ้าในสมัยนั้นถูกกว่าบ้านเรามาก อาจครี่งต่อครึ่ง
นี่พูดถึงบรรยากาศเมื่อราว 20-30 ปีก่อนโน้น ที่การท่องเที่ยวในเอเชียยังกระจุกตัวอยู่ที่ฮ่องกง และสิงคโปร์ที่เป็นแหล่งซ้อปปิ้งของถูก ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวแบบชมความสวยงามของธรรมชาติ และวัฒนธรรม รู้สึกว่านักท่องเที่ยวไทยยังไม่ค่อยให้ความสำคัญมากนัก
เวียดนามก็ไม่ต่างกับไทยในสมัยก่อนที่พึ่งเจริญเติบ คนเวียดนามที่มีฐานะ เท่าที่ทราบมักจะมุ่งไปที่สิงคโปร์และมาเลเซียก่อน เพราะภาพลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นในเรื่องเป็นเมืองที่มีความเจริญทันสมัย เป็นเมืองสะอาดที่สุดในโลก ส่วนไทยก็นิยมมาเที่ยวบ้างแต่ก็ไม่มากนัก
แล้วคนเวียดนามมาเที่ยวไทย เขาสนใจอะไรบ้าง
เท่าที่ทราบก็เป็นเรื่องราคาสินค้าราคาถูก เรียกว่าเดินทางมาซื้อของถูกไม่ต่างกับคนไทยที่เคยซื้อของถูกที่ฮ่องกงหรือสิงคโปร์ อาจมีคำถามว่า ในเวียดนามเองก็มีสินค้าจากจีนทุกมุมเมือง และราคาถูกมาก แต่ทำไมต้องซื้อจากไทย
ตอบแบบที่คุ้นเคยกับประเทศนี้ก็ต้องบอกว่า สินค้าต่างประเทศที่ผลิตไทยเป็นที่นิยมเนื่องจากเป็นของคุณภาพ ใช้นานใช้ทนกว่าสินค้าจากจีน เครื่องเสียงแบรนด์ดังๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า Sony Toshiba Mitsubishi ฯลฯ คนเวียดนามเรียกว่าสินค้าไทย (ทั้งๆที่เป็น แบรนด์ต่างประเทศ) ทำให้อยากมาเที่ยว หรือมาซื้อของเมืองไทย
โดยเฉพาะพวกมอเตอร์ไซด์ที่วิ่งกันเต็มประเทศเวียดนาม จะวัดระดับฐานะกันด้วยยี่ห้อ ใครขับ ฮอนด้า ยามาฮา ซูซูกิ ถือว่ามีระดับและมีราคาแพง เท่าที่สอบถามมาราคาจะสูงกว่าบ้านเราราว 2-3 เท่า ก็คงบวกภาษีต่างๆมากมาย ส่วนราคามอเตอร์ไซด์จากจีนจะนิยมในกลุ่มระดับรองลงมา ราคาก็ถูกมาก คนเวียดนามบอกว่า 1 : 3 หมายความว่าซื้อมอเตอร์ไซด์จากไทย 1 คัน สามารถซื้อมอเตอร์ไซด์จากจีนได้ถึง 3 คัน
เรื่องสินค้าไทยที่นำไปขายไปเวียดนามจึงถือว่าเป็นของเกรด A มีระดับ ทำให้เมืองไทยค่อนข้างมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของคนเวียดนาม ส่งผลให้คนนักท่องเที่ยวจากไทยที่ไปเวียดนามได้รับเครดิตด้านบวกไปด้วยในตัว โดยเฉพาะเป็นนักซ้อปขาใหญ่ ใจดี กระเป๋าหนัก (หรือจนแต่ชอบซื้อ) ซื้อของแต่ละทีก็ไม่ต่างกับเหมาร้าน คนเวียดนามบอกชอบมาก และอยากให้คนไทยมาเที่ยวกันเยอะๆ
คนเวียดนามบอกเห็นคนไทยเข้าร้านแล้วแทบลมจับ เพราะหลังคนไทยออกไปแล้วก็นั่งนับแบ๊งค์กันจนมือสั่นและหน้ามืด
ภาพลักษณ์ด้านสินค้าไทยที่มีคุณภาพ และเป็นประเทศที่เจริญ(กว่าเวียดนาม) ขณะเดียวกันเวียดนามก็มองไทยเป็นต้นแบบของการพัฒนา ทำให้คนเวียดนามอยากมาเที่ยวเมืองไทย ส่วนจะบอกว่าทะเลบ้านเราสวย หาดทรายงาม คนเวียดนามยังก้าวมาไม่ถึงตรงนี้ คงต้องรออีกสักพัก ถึงตอนนั้นเราก็อาจเห็นนักธุรกิจเวียดนามที่มีรสนิยม บินมาตีกอล์ฟ นอนรีสอร์ตหรู และท่องทะเล ในบ้านเราก็ได้
กลับมาที่ซาปาต่อ
หลังจากเดินเล่นดูน้ำตกซิลเวอร์ได้ราว 45 นาที จากนั้นก็เดินทางต่อ อีกไม่เกิน 5 กม. ก็มาถึงถนนที่อยู่สูงสุดของเวียดนาม จุดเนินเขานี้ไม่มีป้ายใดๆทั้งสิ้น แต่ไกด์บอกว่า ตรงที่ยืนนี้แหละเป็นถนนที่สูงที่สุด จากนี้ก็จะเป็นทางลงเขาไปตลอด และไปอีกไกลกว่าจะถึงเดียนเบียนฟู จากเดียนเบียนฟูก็ต่อไปยังฮานอยได้ หลังถนนสายนี้ซ่อมเสร็จเข้าใจว่าทางการอาจทำป้ายบอกความสูงจากระดับน้ำทะเล เพื่อให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
บริเวณเนินเขาที่ยืนอยู่นี้มองเห็นเมฆอยู่ไม่สูงนัก ยอดเขาบริเวณนี้ส่วนใหญ่อยู่ระดับเมฆ ไม่แน่ใจว่าภูเขาสูง หรือเมฆลอยต่ำก็ตอบไม่ได้ หรือว่าเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง ภูเขาสูงคงไม่ผิดแน่เพราะซาปา มีอีกฉายาหนึ่งว่า หลังคาอินโดจีน และไม่ห่างจากจุดนี้ก็จะมียอดเขา ฟานซิปัน เป็นยอดเขาสูงสุดของเวียดนาม และสูงที่สุดในอินโดจีน
ภูเขาที่นี่ดูไม่แห้งแล้ง ทั้งที่ย่างเข้าเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นฤดูผลัดใบของต้นไม้ในป่า ภาคเหนือบ้านเราจะเริ่มเห็นป่าเป็นสีเหลืองหรือสีแดง ครั้นพอถึงปลายฤดูร้อนก็จะเริ่มแตกใบอ่อน เป็นวัฏจักรที่เห็นกันทุกๆปี แต่ที่เวียดนามโดยเฉพาะที่ซาปา ไม่เหมือนเมืองไทย เวลานี้ป่ายังเขียว ดินก็ชุ่มน้ำ อากาศก็ไม่แห้งแล้ง พื้นดินมีความสมบูรณ์มาก
การทำไร่บนเนินเขาจะใช้น้ำจากธรรมชาติหรือน้ำตกที่มีอยู่ทั่วไป เรียกว่าน้ำไหลกันตลอดปี โดยไม่จำเป็นต้องกักเก็บไว้ พืชผลจึงไม่ขาดแคลนน้ำ ในทางตรงข้ามกลับมีใช้อย่างเหลือเฟือ ตามริมทางก็เห็นน้ำเอ่อจนล้น ไม่ต่างกับฤดูฝน
น้ำเหล่านี้มาจากภูเขาที่สูงเทียมเมฆ เป็นต้นน้ำที่ค่อนข้างใสและบริสุทธิ์มาก
ตลอดเส้นทางที่นั่งมอเตอร์ไซด์ชมวิว เป็นอีกรสชาติหนึ่งที่นักท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้บริการได้ เรียกได้ว่าสัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง และสามารถถ่ายภาพได้ขณะซ้อนหลังมอเตอร์ไซด์ได้ทั้งสองฝั่งถนน จุดไหนสวยก็จอดรถถ่ายรูปให้เป็นเรื่องเป็นราว น่าสนุกครับ
หากมากันหลายๆคนก็มีรถเช่าบริการเป็นประเภทรถตู้ยี่ห้อฟอร์ด เป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่ปลอดภัย เพราะเป็นพาหนะที่ใช้สำหรับใช้ขับตามภูเขาสูงชันโดยเฉพาะ ต่างกับรถตู้ธรรมดาๆที่เห็นในบ้านเราที่เหมาะสำหรับทางราบ อีกอย่างรถราตามท้องถนนทั้งในเมืองและนอกเมืองก็มีไม่มากนัก มาเที่ยวซาปาจึงเหมือนกับหลุดมาอยู่บนโลกแห่งความฝัน
ซาปา น่าเที่ยวจริงๆครับ เป็นเมืองสงบน่ารัก และน่าอยู่มาก
ซาปาฉายาสวิสเซอร์แลนด์ของเวียดนาม มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่จบลงง่ายๆ นี่เป็นเพียงเส้นทางสายแรก สายที่ 1 ที่ออนทัวร์
ตอนนี้ขอเวลาย้อนเข้าเมืองก่อน เพื่อตั้งหลักไปเที่ยวที่อื่นต่อ...จะไปไหนหรือ ?? บอกได้เลยว่าจะพาไปเที่ยวดินแดนชาวม้งดำ (Black Mong Hilltribe Village) ชนเผ่าที่ใหญ่สุดของเวียดนาม ประชากรชาวม้งดำที่นี่ได้ยินว่ามีจำนวนเป็นแสนๆ กระจายอยู่ตามภูเขาทางแถบนี้ อาชีพหลักก็คือทำนา แต่เป็นการทำนาข้าวแบบขั้นบันใด
นาข้าวขั้นบันใดในซาปา ถือว่าติดระดับโลก
แม้ไม่ไช่อันดับ 1 แต่เท่าที่เห็นนี้ก็ถือว่าอลังการ ชนิดที่เราๆท่านๆเห็นแล้วก็ต้องตะลึง ตอนต่อไปจึงพลาดไม่ได้ และห้ามกระพริบตาเด็ดขาดกับตอนที่ชื่อว่า
ซาปา นาข้าวขั้นบันใด แสนประทับใจ มิรู้ลืม
เว็บมาสเตอร์
โฟโต้ออนทัวร์
5 กุมภาพันธ์ 2552
|