ซาปา (Sapa) ตอนที่ 5 หมู่บ้านต่าฟาน (Ta Van Village) ชุมชนของชาวเขาเผ่าม้งดำ
(เดินทางเมื่อ 1 ตค.50)
หมู่บ้านต่าฟาน Ta Van Village ชุมชนชาวเขาเผ่าม้งดำ เมืองซาปา
เที่ยวนาข้าวบันใดที่กำลังเหลืองอร่ามในหมู่บ้านม้งดำครั้งนี้ เป็นตอนที่สองต่อจากตอนที่แล้ว หลังพานั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์รับจ้างอ้อมไปด้านหลังเมืองซาปาได้ราว 10 กิโลเมตร ก็จะเห็นหุบเขาขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของชาวเขาเผ่าม้งดำ มีชื่อว่าหมู่บ้านต่าฟาน ( Ta Van Village)
คราวนี้ก็ได้ฤกษ์ที่จะลงไปสัมผัสนาข้าวที่อยู่เบื้องล่างอย่างใกล้ชิด โดยเดินเท้าไปตามทางเดินของหมู่บ้าน ผ่านทุ่งนาและธารน้ำตกสายเล็กๆเป็นระยะๆ มองจากข้างบนลงไปแล้วไม่น่าจะเดินลำบากถึงขนาดต้องปีนป่าย
เพียงแค่เห็นทางที่อยู่ข้างล่างก็อยากจะลงไปเดินแล้วครับ
หากใครมาเที่ยวหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งดำ หรือหมู่บ้านต่าฟานแห่งนี้ ควรหาโอกาสลงไปชมบรรยากาศ และทิวทัศน์ของนาข้าวขั้นบันใดที่ลดระดับลงไปเรื่อยๆจนสู่พื้นล่าง มองจากบนถนนก็เห็นว่าสวย แต่เมื่อลงไปถึงที่แล้วจะสวย หรือมีอะไรน่าสนใจหรือไม่ เป็นสิ่งทีท้าทาย และน่าสนุก หากทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวประเภทชะโงกทัวร์แล้วก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
แต่ก่อนจะลงไปข้างล่างก็ขอเวลาเติมพลังสำหรับมื้อเที่ยงกันก่อน ตอนนี้ก็เลยเวลามามากแล้ว ดูจากสภาพแถวๆนี้แล้วไม่น่าจะมีร้านค้าหรือร้านอาหารไว้บริการนักท่องเที่ยว เรียกว่าเป็นชนบทจริงๆ ถนนที่วนเวียนอยู่บนเขาแทบไม่มีรถวิ่ง นานๆจะเห็นมอเตอร์ไซด์ของชาวบ้านผ่านมาสักคัน ส่วนรถยนต์ที่เห็นผ่านไปมามีน้อยมาก เรียกว่านับคันได้
น่าแปลกนะครับ เส้นทางสู่หมู่บ้านต่าฟาน ถือเป็นการท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของซาปา แต่กลับไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวเท่าใดนัก ทั้งที่ชาวจีนนิยมข้ามแดนมาเที่ยวกันเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน
ก็คิดเรื่อยเปื่อยไปว่าวันนี้ไม่ไช่วันหยุด และชาวจีนส่วนใหญ่ก็มาเที่ยวกันแค่วันเดียว หรืออาจเป็นเพราะหมู่บ้านต่าฟานที่เห็นนี้ ไม่ต่างกับชาวเขาที่อาศัยอยู่ทางแถบมณฑลยูนนานที่อยู่ติดกับเวียดนาม จึงอาจไม่ไช่ของแปลกในสายตาของนักท่องเที่ยวชาวจีนก็เป็นได้
แต่สำหรับผมแล้วต้องบอกว่า ที่นี่เป็นชนบทที่น่ามาสัมผัสเป็นอย่างยิ่ง
นาข้าวขั้นบันใดอันกว้างขวางและน่าแปลกตาสำหรับคนไทย วิถีชีวิตของชาวเขาที่ไร้แสงสี รวมทั้งความเจริญยังเข้ามาไม่ถึง ทำให้เราได้มีโอกาสเห็นการดำเนินชีวิตเป็นแบบดั่งเดิมอย่างแท้จริง
ไกด์ชาวเวียดนามบอกว่าที่นี่เป็นศูนย์รวมของชนเผ่าหลายกลุ่ม โดยมีม้งดำเป็นกลุ่มใหญ่สุด ระยะทางจากนี้ไปจะมีหมู่บ้านชาวเขาเป็นระยะๆ ถนนก็จะค่อยๆลาดลงเขาไปเรื่อยๆ ความสวยงามของทิวทัศน์ในเส้นทางสายนี้จึงมีเพียงแค่เท่าที่เห็นเท่านั้นเอง
หมู่บ้านต่าฟาน แม้จะเป็นเส้นทางท่องเที่ยวในช่วงสั้นๆตามที่ไกด์บอก แต่ในความรู้สึกของผมแล้วถือว่ามันยิ่งใหญ่ พอที่จะทำให้นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนไทยได้ตื่นตะลึงกับความสวยงามที่เห็นอยู่เบื้องหน้า
พาลนึกหรือคิดฝันไปว่า อยากมาเที่ยวซาปาให้ครบทั้ง 3 ฤดู จะได้เห็นความสวยงามทุกฤดูกาลที่อาจมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ใครมาเที่ยวในช่วงฤดูฝนก็คงเห็นบรรยากาศของเมฆฝนลอยต่ำๆ สภาพแวดล้อมทั้งภูเขาและนาข้าวคงเขียวขจี หรือหากมาในช่วงต้นข้าวยังเล็กๆ ก็อาจเห็นน้ำขังตามนาข้าวเป็นแอ่งๆ สะท้อนภาพจากท้องฟ้าและกลุ่มเมฆ
ส่วนหน้าหนาวก็คงเห็นหมอกขาวกระจายอยู่เต็มหุบเขา จนกลายเป็นทะเลหมอกขนาดใหญ่ หรือบางเวลาก็อาจเห็นยอดเขาบางลูกโผล่พ้นทะเลหมอก คิดแล้วก็คงจะสวยน่าดู หากโชคดีก็อาจเห็นแม้คะนิ้ง หรือหิมะตกบนยอดเขาจนสามารถมองเห็นด้วยสายตาจากข้างล่างตามที่ไกด์บอก
ซาปาถือว่าเป็นเมืองหนาวสุดของเวียดนาม บางปีหนาวจัดจนมีหิมะตก การรายงานอากาศในช่วงฤดูหนาวของกรมอุตุฯ ประเทศเวียดนาม หนีไม่พ้นที่จะติดตามรายงานอากาศจากเมืองซาปา ไม่ต่างกับบ้านเราที่มักเกาะติดอุณหภูมิจากยอดดอยอินทนน์ หรือจากอำเภอภูเรือ จังหวัดเลย
ซาปาหนาวไม๊...
เรื่องหนาวคงหนาวแน่ แต่เรื่องแม่คะนิ้งแล้วคนเวียดนามคงไม่ค่อยตื่นเต้นกันนัก เพราะเป็นเรื่องปกติที่เห็นกันเป็นประจำทุกปี แต่คนเวียดนามเค้าลุ้นกันเรื่องหิมะมากกว่า ช่วงไหนมีหิมะ คนเวียดนามก็จะแห่กันมาเที่ยวซาปา เช่นเดียวกับบ้านเราที่แห่กันไปจับแม่คะนิ้งเล่นตามยอดดอย
เมื่อปีที่ผ่านมาเมื่อต้นปี 2551 มีข่าวไปทั่วโลกเรื่องอากาศที่ซาปาหนาวจัดจนวัวควายล้มตาย พืชผักที่ปลูกตายเรียบ หนาวถึงขนาดต้องห่มผ้าห่มไว้บนหลังควายขณะปล่อยให้ออกไปเล็มหญ้ากลางแจ้ง
ซาปาหากย้อนไปเมื่อหลายๆปีก็ต้องบอกว่ามีหิมะตกจนเกาะตามต้นไม้ และตามตึกอาคารต่างๆ ไม่แพ้ประเทศในเขตหนาว (มีภาพให้ดูในโอกาสต่อไป)
ตอนนี้ชักหิวแล้วครับ ดูซิว่าไกด์เวียดนามจะพาไปหาข้าวหาปลากินกันที่ไหน
เห็นไกด์เราส่งภาษาเวียดนาม เดื๋องๆ ด่องๆ กับโชเฟอร์มอเตอร์ไซด์รับจ้าง สรุปเป็นภาษาไทยว่า แถวนี้ไม่มีร้านอาหารบริการนักท่องเที่ยว เพราะอยู่ห่างจากตัวเมืองซาปามาแค่ ประมาณ 10 กม.เท่านั้นเอง ดังนั้นจึงต้องหาร้านค้าของชาวเขาเพื่อหาของกินรองท้องกันตายไว้ก่อน จะได้มีเรี่ยวแรงเที่ยวกันต่อ
หลังจากโชเฟอร์ขับไปจอดในร้านค้าเล็กๆ ซึ่งพอจะมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่ง ไกด์ชาวเวียดนามก็เดินเข้าไปในร้าน หวังว่าจะมีเฝ่อหรือก๋วยเตี๋ยว อาหารง่ายๆของเวียดนาม พอจะแก้ขัด แต่ผิดหวังครับ
เจ้าของร้านเป็นชาวเขาผู้ชาย มีภาระเลี้ยงลูกน้อยตัวเล็กๆ ดูไม่ค่อยสนใจลูกค้าเท่าใดนัก ก็พอดีในร้านมีบะหมี่กึ่งสำเร็จเมดอินไทยแลนด์ (น่าจะเป็นมาม่า) วางขายอยู่หลายห่อ และมีไข่ไก่ขายด้วย
เป็นอันว่ามื้อนี้ กินมาม่าอย่างชนิดไม่มีทางเลือก และทุกคนที่มาก็ต้องกินแบบเดียวกัน โดยมีไข่ต้มคนละลูกสองลูกให้อิ่มท้องยิ่งขึ้น
อยู่เมืองไทยก็ไม่เคยกินมาม่ากับไข่ต้ม ก็พึ่งมากินที่เวียดนามนี้แหละครับ ใครจะนำไปลองทำก็ได้ ส่วนจะอร่อยหรือไม่ ก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน แต่จำได้แม่นว่าในวันนั้น ซัดมาม่าไป 2 ห่อ และไข่ต้มอีก 2 ใบ พูดไปก็อายปากว่า
กินจนเกลี้ยงถ้วยเกลี้ยงชามกันได้ยังไง ประหลาดจริงเชียว....
เติมพลังเสร็จเรียบร้อยก็เดินลงข้างล่าง มีจุดหมายที่ลำธารน้ำตก ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยเดินทางมาเที่ยว หรืออาศัยเป็นเส้นทางเพื่อเดินข้ามไปยังภูเขาลูกอื่นๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกฝรั่งต่างชาตินักเที่ยวตัวจริง ส่วนพวกเราเป็นแบบมือสมัครเล่น มีเวลาน้อย และที่สำคัญ เรี่ยวแรง กำลังขาก็คงสู้พวกฝรั่งไม่ได้แน่
ขณะเดินลงเขาก็ยังเห็นพวกฝรั่ง 3-4 รูปร่างสูงใหญ่เดินตามหลังเรามา แต่ไม่นานก็เดินลำหน้าพวกเราจนหายลับไปในเวลาอันรวดเร็ว นึกในใจว่าผีหลอกหรือเปล่า
อ้วนก็อ้วน แต่ทำไมจึงแรงดีจัง วุ้ย..
ระหว่างทางที่เดินก็พึ่งรู้ความจริงว่านาที่เห็นเป็นขั้นๆนั้น เป็นการนำก้อนหินมาจากลำธารหรือตามภูเขาที่เห็นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปมาวางซ้อนให้เป็นแนวกำแพง จากนั้นก็จะขุดดินปรับพื้นให้เป็นแนวระนาบเพื่อเป็นพื้นที่ปลูกข้าว พร้อมกับก่อกำแพงดินติดกับแนวกำแพงหินอีกชั้นหนึ่ง คล้ายโบกปูนทับกำแพงหินที่ก่อไว้ เพื่อให้พื้นที่บริเวณนั้นกลายเป็นที่ขังน้ำได้
ดูแล้วไม่ง่ายและต้องค่อยๆทำทีละชั้น ให้เป็นขั้นบันใด กว่าจะเต็มพื้นที่ก็คงกินแรงกันน่าดู แค่ขนหินมาเรียงซ้อนเป็นกำแพงดูเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร เห็นแล้วก็ต้องบอกว่าการทำนาบนพื้นราบดูจะสบายกว่าการทำนาแบบขั้นบันใดหลายเท่าตัว หากชาวเขาไม่รู้จักปรับตัวก็คงไม่มีที่ปลูกข้าว และการปลูกข้าวของชาวเขาดูจะให้ความจริงจัง เป็นการปลูกเพื่อกินกัน ไม่ไช่ปลูกเพื่อขาย ส่วนเกินเท่านั้นที่จะนำไปขายได้
การปลูกข้าวของชาวเขา จึงเป็นการเก็บสต๊อคอาหารไว้หล่อเลี้ยงชีวิตของทุกคนในครอบครัว ไม่ต่างกับการสะสมเงินทองเก็บไว้ในธนาคารเพื่อไว้ใช้จ่ายเป็นค่าอาหาร และค่าอื่นๆในการดำรงชีวิตตลอดทั้งปี ฤดูทำนาจึงมีความสำคัญสำหรับชาวเขาในเมืองซาปานี้เป็นอย่างมาก
ชาวเขาในซาปาถือว่าโชคดีในเรื่องน้ำเพื่อการทำนา หรือเพื่อการเกษตร เพราะมีน้ำจากภูเขาให้มีไว้ใช้กันตลอดทั้งปี และเป็นน้ำที่สะอาดบริสุทธ์ ไหลมาจากภูเขาสูงที่ปราศจากสารพิษจากยาฆ่าแมลง
การทำนาของชาวเขาที่นี่ ไม่มีการใส่ปุ๋ยเคมี หรือฉีดยาฆ่าแมลง จึงเป็นข้าวที่ไร้สารพิษอย่างสิ้นเชิง
มาเที่ยวหมู่บ้านต่าฟานในช่วงนี้ทำให้มีโอกาสเห็นครอบครัวม้งดำมารวมตัวทำงานกันในทุ่งนา การเกี่ยวข้าว การนวดข้าวแบบโบราณที่มัดข้าวไว้ปลายไม้แล้วฟาดลงบนกระบะไม้รูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ เป็นการใช้แรงงานจากกำลังแขนล้วนๆ เพื่อให้ข้าวหลุดจากรวง
ต่างกับการทำนาในบ้านเราที่มีรถบริการนวดข้าว สามารถวิ่งไปบริการกันถึงในทุ่งนา และได้ข้าวเปลือกในเวลาอันรวดเร็ว แต่ที่ซาปายังทำกันแบบดั่งเดิม เสียงนวดข้าว หรือเสียงจากการฟาดรวงข้าว โป๊ะ โป๊ะ ดังเข้าหูมาเป็นระยะๆ
เดินจากถนนลงมาไม่นานก็มาถึงลำธารน้ำสายใหญ่ ที่เกิดจากการไหลรวมกันของสายน้ำสายเล็กๆจำนวนหลายสาย ไกด์บอกว่าต้นน้ำหลักๆแล้วมาจากน้ำตกสองสายที่มองเห็นจากบนถนน และหากอยากเห็นน้ำตกอย่างใกล้ๆ หรือเข้าไปเล่นน้ำตก ก็ต้องเดินเลยจากนี้ไปอีก ซึ่งจะเป็นเส้นทางที่สูงชันขึ้น เดินลำบากขึ้น
ขณะล้างหน้าล้างตาจากน้ำในลำธาร ก็เห็นแหม่มสาวสองคนเดินลงมาจากเขา มีไกด์สาวเป็นชาวเขาวัยรุ่นๆแต่นุ่งกางเกงแทนกระโปรงเป็นผู้นำทาง ไกด์เราบอกว่าพวกเค้าเดินลงมาจากน้ำตกกัน
ตอนนี้ขอจบซาปาตอนที่ 5 ไว้แต่เพียงเท่านี้ ได้เวลากลับขึ้นสู่ข้างบนกันแล้วครับ
ที่สำคัญต้องรีบเดินให้ลำหน้าแหม่มสองคนเพื่อให้เห็นหน้ากันชัดๆหน่อย ตอนนี้พวกเราเดินตามห่างๆเพียงแค่ 4-5 เมตร เท่านั้นเอง เรียกว่าพอลุ้น ออกแรงอีกนิดน่าจะเข้าไปใกล้ๆได้
แต่ทำท่าว่าจะตามไม่ทันซะแล้ว ยิ่งเดินก็ยิ่งช้าลงไปเรื่อยๆ เพราะเรี่ยวแรงและสังขารดูจะสู้พวกเค้าไม่ไหว จากที่ทิ้งห่างกันแค่ 4-5 เมตร ก็ค่อยๆห่างไปเรื่อยๆ กลายเป็น 10 เมตร 20 เมตร และ 100 เมตร 200 เมตร ในเวลาต่อมา จากนั้นก็หายลับไปกับตา
เห็นอีกที่ก็โน่น..ยืนคอยรถอยู่บนถนนกันหมดแล้ว ส่วนพวกเรายังหอบแฮกๆ กันอยู่ข้างล่าง
โบราณเค้าถึงเตือนไว้สำหรับผู้สูงวัยว่า
ถ้าใจคิดจะสู้แรงกับหนุ่มๆสาวๆแล้ว ให้ดูสังขารตัวเองเสียก่อน
ซาปายังมีดีอีกหลายตอน ติดตามกันต่อไปนะครับ
เว็บมาสเตอร์
โฟโต้ออนทัวร์
24 กุมภาพันธ์ 2552
|